Shonen ai Warning : รังสีอัลตราไวโอเล็ตรุนแรงเล็กน้อย (คิดว่านะ) แต่รับรองว่ายังปลอดภัยต่อสุขภาพ
Author : jes
Pairing : ไม่มี๊...ไม่มี อีกอะแหละ
Disclaimer : ตัวละครเป็นลิขสิทธิ์ของ square enix ค่ะ ไอเดียนี้เกิดขึ้นเพราะความเซ็งตอนฟังสัมมนา เพื่อถ่วงหนังตาไว้ไม่ให้หลับคาโต๊ะเลยขีดๆ เขียนๆ ฟิคมันแก้เบื่อ เลยได้ฟิคนี้ออกมา
Intro : เขียนตามใจอยากค่ะ เนื้อหาเลยไม่ตรงเนื้อเรื่องหลักและค่อนข้างไร้สาระ คิดว่าอ่านเอาสนุกแล้วกันนะเจ้าคะ ตามพล็อตเรื่องคราวนี้ตัวละครหลักจะเป็นฝ่ายชินระทั้งหมด เซฟจัง แซคกี้ แองจีล และเจเนซิสเลยได้มีบทกะเค้าบ้างหลังโดนเจสดองเก็บไว้ไม่เห็นหน้าค่าตาในฟิค brother เลยสักคน (เปลี่ยนมาดองบทเอริธ ทีฟ่า แบร์เร็ต และพวกพ้องคนอื่นๆ แทน -*-)
แต่แค่อ่านชื่อเรื่องก็รู้แล้วใช่มะว่า...หนีไม่พ้นคลาวด์คุงกับแก๊ง 3 หนุ่มผมเงินตามเคย
ปล. เจสเป็นแม่ยกคลาวด์ค่ะ (หรือจะพูดให้ถูกคือ เซฟี่คลาวด์) อย่าว่าคลาวด์กันเลยนะ ถึงจะยอมรับว่าหมอนี่พึ่งไม่ค่อยได้จริงๆ ก็เหอะ!
รู้สึกตัวอีกที...คาดาจก็พบว่าตัวเองกลับมานอนอยู่บนโซฟาตัวเดิมในห้องรองประธานบริษัทอีกครั้ง เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ พยายามขับไล่ความรู้สึกสะลึมสะลือออกไป เหลือไว้แต่อาการปวดหัวที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ ปวดจนแทบอยากอาเจียน
จากกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ปลายเท้า...ข้างนอกมืดแล้ว
แม้นัยน์ตาที่พยายามลืมให้ขึ้นยังคงปรากฏภาพเบลอมัวไม่เป็นรูปร่าง แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงมือแข็งแรงที่ตรงเข้าช้อนหลังแล้วใช้ท่อนแขนโอบพยุงตัวให้ลุกขึ้น จากนั้นใครคนนั้นก็นั่งลงตรงที่คาดาจนอนอยู่เมื่อกี้แล้วค่อยๆ จับเขาพิงลงมาที่ไหล่ อึดใจต่อมาแก้วเล็กๆ ใส่น้ำอะไรข้นๆ กลิ่นแปลกๆ ก็มาจ่ออยู่ใกล้ๆ ริมฝีปาก
เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นแล้วพยายามหันหน้าหนี แต่ติดที่ปลายคางถูกยึดไว้แน่น
“ยาแก้เมาค้าง” เสียงห้าวที่คุ้นเคยกระซิบบอกเบาๆ “แข็งใจกินเข้าไปให้หมดซะดีๆ”
“ไม่เคยกินมาก่อนแท้ๆ ซดไวน์เข้าไปได้ไงตั้งครึ่งค่อนขวด” อีกเสียงดุเบาๆ แต่ไม่จริงจังนัก “ถ้าไม่กินยาล่ะก็..ได้ปวดหัวตายแน่”
ลงท้ายเขาก็ยอมอ้าปาก กลั้นใจกลืนยาที่ว่านั่นลงไปจนหมด ที่จริงรสชาติมันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ สักพักอาการปวดหัวแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ค่อยๆ ลดน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาที่พร่ามัวเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้น จนเห็นคน 2 คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ลอซ ยาซู มาได้ไง”
“มีลีมูซีนมารับถึงหน้าบ้านเลยล่ะ” ลอซยักคิ้วกวนๆ ให้รูฟัสที่ยังคงนั่งเฉยๆ ให้คาดาจพิงอยู่อย่างนั้น แก้วยาที่ดื่มหมดแล้วก็ยังถือค้างอยู่ในมือ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทามองเส้นผมสีเงินของเด็กหนุ่มแต่ละคนสลับกันไปมาด้วยสายตาที่ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“พี่ชายฉันล่ะ”
ลูกแมวที่ยังมีอาการมึนๆ เบลอๆ อยู่บ้างเอียงหน้าไปถามอย่างหมดฤทธิ์พยศ เลิกสนใจกับนิ้วยาวๆ ที่เกี่ยวๆ พันๆ ปลายผมของตัวเองเล่น
“คลาวด์ สไตรฟ์ เพิ่งกลับจากภารกิจนอกพื้นที่ คงกำลังรายงานผลการปฏิบัติงาน เดี๋ยวจะให้มาที่นี่” รองประธานเม้มเม้มริมฝีปากพลางขมวดคิ้ว “แน่ใจนะว่าใช่คนนี้”
“แน่ซะยิ่งกว่า.......”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณยุติการสนทนา สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังประตูที่กำลังเปิดออก หัวใจที่เคยลีบเล็กด้วยความท้อถอยกลับพองโตด้วยความหวังและความยินดี
คนที่ก้าวเข้ามาเป็นชายร่างสูงสง่า นัยน์ตาสีเขียวค่อนข้างเฉยชาและนิ่งสงบ เส้นผมสีเงินยาวอย่างยิ่งสะบัดเล็กน้อยตามจังหวะการเดิน มือเรียวได้รูปถือดาบยาวเกิน 2 เมตรไว้มั่น
“มีคำสั่งเรียกให้มาที่นี่ครับ”
“เซฟิรอธ” รูฟัสลุกขึ้นแล้วยิ้มนิดๆ ให้กับน้ำเสียงไร้ความรู้สึกสิ้นดีของคนตรงหน้า ที่ไม่ว่าพูดเมื่อไหร่หรือกับใครก็ไม่มีความแตกต่าง นับเป็นความเย็นชาที่คงเส้นคงวาและเป็นเรื่องปรกติ ก่อนผายมือแนะนำให้กับคนที่เหลือในห้อง
“เซฟิรอธผู้ยิ่งใหญ่ โซลเยอร์ที่ดีที่สุดของชินระขณะนี้และเท่าที่เคยมีมา”
ไม่มีปฏิกิริยาจาก “โซลเยอร์ผู้ยิ่งใหญ่” นอกจากปรายตามองนิดนึงอย่างเสียไม่ได้ บ่งบอกชัดเจนว่าไร้ความสนใจอย่างสิ้นเชิง
มันช่างแตกต่างกันเหลือเกินกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
“ผิดคนแล้ว” คาดาจโวยวายเท่าที่พอจะมีแรงอยู่บ้าง “ไม่ใช่คนนี้ ต้องคนผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้าต่างหาก”
“งั้นเหรอ” รูฟัสพูดยิ้มๆ พลางกวาดตาไล่มองกลุ่มคนผมเงินทั้ง 4 คนในห้องเรียงไปทีละคน “ฉันว่าเขาคนนี้เหมือนพวกเธอมากกว่านะ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”
วินาทีนั้น..ใบหน้าที่แสนเฉยชาพลันกระตุกวูบ นัยน์ตาสีเขียวที่เคยนิ่งสงบอยู่เสมอทอประกายเกรี้ยวกราดชั่วแวบก่อนเลือนหาย มือใหญ่ที่กระชับดาบแน่นขึ้นจนข้อนิ้วแข็งเกร็งก็ค่อยๆ ผ่อนแรงออกเป็นถือไว้หลวมๆ ตามเดิม
“บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ พี่ชาย...พี่ชายของฉันน่ะ ไม่มีทางเป็นคนเลือดเย็น ใจร้าย ไร้มนุษยสัมพันธ์ แถมยังมารยาทแย่แบบนี้...” คาดาจกระชากเสียงใส่อย่างเหลือที่จะอดทนก่อนเผลอตัวผุดลุกขึ้นยืนทันที แต่แล้วก็หน้ามืดทรุดฮวบลงไปอีกครั้ง ดีที่ลอซเข้ามาช่วยประคองไว้ทัน ในขณะเดียวกันยาซูก็เอามือล้วงกระเป๋าควานหาอะไรสักอย่างวุ่นวาย
วินาทีนั้นนัยน์ตาสีเขียวแข็งกระด้างก็หันมาสบเข้ากับดวงตาสีเดียวกันแต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์เข้าอย่างจัง สัญญาณอันตรายเริ่มส่อเค้าให้เห็นลางๆ
แต่ก่อนที่สถานการณ์จะรุนแรงไปมากกว่านี้ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมๆ กับร่างของผู้เข้ามาใหม่ 2 คน รวมถึงอะไรบางอย่างที่ยาซูทำหลุดมือตกลงบนพื้นแล้วกลิ้งหลุนๆ ไปอยู่หยุดกลางห้อง
เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมความเงียบงันที่ก่อตัวขึ้นฉับพลัน นัยน์ตาสีฟ้าใสกะพริบปริบด้วยความงุนงง
...ห้องทำงานผู้บริหารชั้นบนสุดที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ขึ้นมา
...รองประธานที่ยิ้มเหยียดๆ แววตาท่าทางเหมือนกำลังสนุกสนานกับเรื่องอะไรสักอย่าง
...เซฟิรอธที่สีหน้าบึ้งตึงจนไม่ว่าใครก็ดูออก
...เด็กผมเงินแปลกหน้า 3 คนที่จ้องเขาราวกับเห็นตัวประหลาด แต่ก็รู้สึกคุ้นๆ ยังไงบอกไม่ถูก
...ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่แล้ว....
ท่ามกลางเงียบสนิทกลับมีเสียงของพ่อหนุ่มผมเม่นดังขึ้นเดี่ยวๆ ขณะก้มลงไปหยิบอะไรสักอย่างที่ปลายเท้าขึ้นมาส่องดูแทบจะชิดลูกตา
“เฮ้! นี่มันยาดมแก้เมารถที่นายฝากฉันซื้อก่อนไปไอซีเคิลนี่นา ไหนว่าให้ใครไปแล้ว ‘ไมมากลิ้งอยู่แถวนี้ได้”
“อ๋อ! ใช่..”
คลาวด์เหมือนจะนึกอะไรออก แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อร่างบางๆ ร่างนึงโถมเข้าใส่ ตามด้วยวงแขนที่สวมกอดแน่นจนเขาต้องอ้าแขนออกเพื่อรับน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายไว้ แถวข้างแก้มสัมผัสได้ถึงเส้นผมสีเงินยาวสลวยที่ปลิวกระจาย
“พี่ชาย พี่ชาย...ตอนนั้นเป็นพี่เองเหรอ ดีใจจัง”
“ยาซู” เสียงคาดาจแหลมปรี๊ด เรี่ยวแรงที่หดหายพลันกลับคืนมายิ่งกว่าตอนเป็นปรกติเสียอีก ตามด้วยการถลาเข้าใส่คลาวด์ด้วยอีกคน “แซงคิวนี่นา ฉันเป็นคนเจอคนแรก ต้องให้ฉันกอดก่อนถึงจะถูก”
“พอเลย” เหนือศีรษะของคน 3 คนที่กอดกันกลม เสียงลอซคุงตะเบ็งอยู่ลั่นๆ เพราะว่าตัวโตกว่าใครเพื่อนเลยหาจังหวะแทรกเข้าไปมีส่วนร่วมกับเขาด้วยไม่ถนัด “นาย 2 คนได้กอดพี่ชายกันคนละทีสองทีแล้ว ให้ฉันกอดมั่งสิ”
ลงท้ายคลาวด์ที่ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ยืนหัวหมุนอยู่ตรงกลางนิ่งๆ ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้พวก ‘มะรุมมะตุ้มรุมกอดพี่ชาย’ เข้าถึงตัวได้ตามใจชอบ
เสียงเอะอะโวยวายชนิดไม่มีใครยอมใครคงยังดังต่อเนื่องไปอีกนาน ถ้าไม่มีเสียงอะไรสักอย่างที่ดังยิ่งกว่า..อย่างเสียงที่เกิดจากการจงใจกระแทกมาซามุเนะลงกับพื้นห้องอย่างแรง
ปึ้ง!
ทั่วทั้งห้องเงียบสนิทอีกครั้ง
“คิดว่าท่านคงให้คำอธิบายได้” นัยน์ตาสีเขียวคมกริบของนักรบผมเงินจ้องเขม็งไปที่รองประธานตรงๆ จากน้ำเสียงเย็นยะเยือกบ่งบอกชัดเจนว่าความอดทนของเจ้าตัวเริ่มถึงขีดลิมิตเบรก
“ไว้ก่อนแล้วกัน” ‘ท่านรอง’ ทำหน้าเฉยแล้วยักไหล่เหมือนไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญ อะไร พลางหันมาบอกคาดาจที่เอาแต่ติดคลาวด์หนึบไม่ยอมปล่อย “ระหว่างนี้ฉันคงต้องตรวจสอบข้อมูลอะไรบางอย่าง เธอ 3 คนคงต้องพักที่ชินระไปก่อน ส่วนคลาวด์ สไตรฟ์..นี่คือคำสั่ง...ยกเลิกภารกิจทุกอย่างแล้วคอยดูแลเด็ก 3 คนนี้ให้ดีตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่”
“ครับท่าน”
“งั้นก็หมดธุระ” รูฟัสพูดยิ้มๆ แต่แววตากลับตรงกันข้าม “เชิญทุกคนตามสบาย”
...............................................
...คงมีการเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง
นั่นคือความคิดของคลาวด์ขณะเดินนำขบวนไปยังห้องรับรองชั้นเดียวกันกับของโซลเยอร์เฟิร์สคลาส เด็กๆ ผมเงินทั้ง 3 คนยังคงตามติดเขาแจชนิดไม่ยอมออกห่างจากตัวเกินรัศมี 1 เมตรจนเริ่มรู้สึกอึดอัด แต่เมื่อมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจและความสุขของแต่ละคนแล้ว เขาก็ทำอะไรทำร้ายจิตใจเด็กๆ พวกนี้ไม่ลง แน่นอน... จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นเลยสักนิด
หลังจากวุ่นวายกับการตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า กินอาหารมื้อเย็น และกว่าจะบังคับให้เข้านอนกันได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แต่แล้ว...เมื่อคาดาจส่งกรอบรูปขนาดฝ่ามือมาให้ คลาวด์ก็ถึงกับอึ้ง
หญิงผมบลอนด์ในรูปส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้คล้ายจะขอโทษและปลอบโยนไปพร้อมๆ กัน
...แม่
...แม่ที่ตายไปเพราะการทดลองที่ผิดพลาดเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
คลาวด์ยิ้มบางๆ ขณะเดินกลับลงมาที่ห้องพักระดับการ์ดของตัวเอง ความรู้สึกสมัยยังเด็กที่เลือนลางไปจากหัวใจเกือบหมดพลันอุ่นวาบขึ้นมาในอกอีกครั้งอย่างน่าประหลาด
ตอนที่แม่จากไป เขายังเด็กมากเสียจนจำอะไรเกี่ยวกับแม่ได้ไม่มากนัก จำได้ว่าส่วนใหญ่เขาจะถูกฝากไว้ที่เนิร์สเซอรีของชินระที่มีเพื่อนๆ มากมายและมีพี่เลี้ยงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด หลายๆ วันถึงจะได้เจอแม่สักครั้ง และแทบทุกครั้งที่ได้เจอ..แม่ก็มักจะอยู่ในห้องทดลองเสมอ พร้อมกับทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับ “เด็ก” อีกคนนึง
ในรูปถ่ายคงเป็นวันครบรอบวันเกิดของเขาที่แม่อุ้มพาไปเดินเล่นในสวนสาธารณะแทนที่จะอยู่ในห้องทดลองเหมือนทุกที นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบแม่ หลังจากนั้นไม่นานนักคลาวด์ก็ต้องย้ายออกไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า จนสุดท้ายก็มาอยู่กับโซลเยอร์..
หน้าห้อง... มีกล่องขนาดใหญ่วางไว้พร้อมกับโน้ตใบเล็กแปะอยู่หน้าประตู คลาวด์เลยต้องเดินย้อนกลับไปห้องพักชั้นบนอีกครั้ง
...แชมพูของเซฟิรอธ
ในห้องทดลองของแม่จะมีเด็กคนนึงนอนหลับอยู่เสมอ รอบตัวมีสายอะไรระโยงระยางเต็มไปหมด ภาพที่เห็นจนชินตาคือแม่มักเอามือลูบศีรษะเด็กคนนั้นแล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ
...ขอโทษ ขอโทษนะที่ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย
เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ ให้กับความทรงจำในอดีตขณะเปิดประตูห้องพักระดับเอ็กซ์ตราเฟิร์สคลาสเข้าไป
‘แม่คงไม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เด็กคนนั้นทั้งตัวโตทั้งเก่งกาจออกขนาดนี้’
…………………..
แค่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องไม่กี่ก้าว สัญชาติญาณระวังภัยในตัวเด็กหนุ่มก็กรีดร้องดังระงมไปหมด เล่นเอาคลาวด์ยิ้มค้างขณะวางกล่องใส่แชมพูลงบนโต๊ะตัวเล็กมุมห้อง
...เจ้าของห้องยังไม่เข้านอน
คืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท แม้พระจันทร์จะทอแสงอ่อนจางจนแทบมองไม่เห็น แต่ก็ไม่มีดาวเลยสักดวง จากแสงสลัวเลือนนั่นทำให้สังเกตอิริยาบถของอีกฝ่ายได้ไม่ถนัดนัก แต่จากประกายของเรือนผมสีเงินบอกว่าเซฟิรอธยืนพิงกรอบหน้าต่างบานใหญ่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
...เท่าที่ดู เซฟิรอธกำลังอารมณ์เสีย เสียมากๆ ด้วย
...ชิ่งหนีซะก่อน ดีมั้ยเรา
แต่พอจะขยับเท้า เสียงห้าวๆ แข็งๆ ด้วยแรงอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในอกก็ดังขึ้นก่อน
“จะไปไหน”
“เอ่อ”
...คิดผิดแล้วล่ะ เซฟิรอธไม่ใช่แค่อารมณ์เสียเท่านั้น ยังพาลหาเรื่องอีกด้วย
นัยน์ตาสีมรกตที่แสนเย็นชา วูบหนึ่งเหมือนมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ ใบหน้าของเซฟิรอธที่ปรกติไม่เคยปรากฏอารมณ์ใดๆ ตอนนี้เครียดเขม็ง
“เมื่อกี้ ทำไมไม่ปฏิเสธ”
“ก็...” คลาวด์อึกอัก “เป็นคำสั่งท่านรองประธานนะครับ ผมต้องปฏิบัติ....”
เสียงกำปั้นทุบโครมลงไปบนโต๊ะแบบไม่ปราณีปราศัย แรงขนาดทำให้โต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เคราะห์ร้ายไปตั้งอยู่แถวนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งตัว เล่นเอาคลาวด์หลับตาปี๋
“ปฏิบัติตามคำสั่งงั้นเหรอ ฉันต่างหากที่เป็นผู้บังคับบัญชา นายต้องฟังคำสั่งฉัน”
“แต่...”
“ไม่มีแต่...คราวต่อไปจำไว้ว่า....”
“เซฟิรอธ”
ชายหนุ่มผมดำอีกคนเดินเข้ามาเงียบๆ ชนิดไม่ให้สุ้มให้เสียง พลางยื่นมาเทเรียในมือให้คลาวด์รับไปเก็บในกล่อง
“ขอฉันคุยกับหมอนี่ 2 คนก่อนได้มั้ย แล้วพรุ่งนี้เช้านายค่อยมารายงานภารกิจของเซฟิรอธอีกที”
คลาวด์รับคำเบาๆ ด้วยความโล่งใจ ก่อนจะ...ชิ่งหนี เอ้ย รีบเลี่ยงออกไป โดยพยายามทำเป็นมองไม่เห็นสายตาดุจัดที่จ้องตรงมาอย่างคาดโทษ
คล้อยหลังเด็กหนุ่ม ‘แขกไม่ได้รับเชิญแถมยังขัดจังหวะ’ ยิ้มขำๆ พลางส่ายหน้าไปมา
“อะไรกันนาย แบบนี้เสียชื่อเซฟิรอธเดอะเกรทหมด ไม่เห็นรึไงว่าเจ้าหนูนั่นขวัญบินหมดแล้ว...เซฟิรอธที่ไม่เคยรู้สึกรู้สา ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้นเกิดจะอาละวาดปึงปังขึ้นมา เด็กตัวเล็กๆ อย่างนั้นจะมีปัญญาทำอะไรได้”
“แองจีล”
เจ้าของห้องหันขวับ น้ำเสียงกระด้างที่เรียกชื่อฝ่ายตรงข้ามสื่อความว่าพร้อมจะมีเรื่องได้ทุกเมื่อ
“ฉันไม่มีรสนิยมชอบเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นหรอกนะ แต่..เห็นแล้วมันอดไม่ได้ บางทีความคิดของคนบ้านนอกธรรมดาๆ อย่างฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจคนที่โตมาในห้องทดลองอย่างนายเท่าไหร่”
“แองจีล” คราวนี้จากน้ำเสียงกระด้างเปลี่ยนเป็นตวาด
“คนอื่นจะคิดกับนายยังไงฉันไม่รู้ แต่เท่าที่ดู...เซฟิรอธผู้เก่งกาจก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนธรรมดาๆ คนนึง เวลาปฏิบัติงาน...รู้ตัวบ้างมั้ย..ว่าแทบทุกครั้งที่นายเหนื่อย เครียด หรือไม่มั่นใจขึ้นมา นายจะเหลือบไปมอง ‘คนข้างหลัง’ นิดนึงเสมอ จากนั้นก็จะกลับเป็นปรกติ”
“ฉันต้องดูแลผู้ติดตาม” น้ำเสียงอีกฝ่ายที่เถียงกลับมาเต็มไปด้วยความเย็นชาเหมือนปรกติ ท่าทางจะควบคุมอารมณ์ได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป...แต่ก็นะ..ในเมื่อเป็นแค่ผู้ติดตามแท้ๆ แต่นายกลับส่งมาซามุเนะให้คลาวด์เอาไปเช็กสภาพได้หน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ฉัน เจเนซิส หรือแซค ที่เป็นโซลเยอร์เฟิร์สคลาสเหมือนกันกลับไม่เคยมีใครได้แตะต้องดาบเล่มนั้นเลยสักคน” หนุ่มผมดำเลิกคิ้วล้อๆ “ในเมื่ออาวุธคือหัวใจของนักรบ การยื่นอาวุธคู่ใจให้คนอื่นได้แสดงว่า สำหรับคนๆ นั้นแล้ว...ถ้าไม่ไว้ใจอย่างที่สุดก็ต้อง...รักมาก”
...ไม่มีคำตอบจากนักรบผมเงินที่เอาแต่เม้มริมฝีปากแน่นแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
แองจีลยื่นมือไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ เมื่อเห็นความดื้อดึงปรากฏขึ้นชั่วแวบในแววตาสีเขียวนั่น
“ถามใจตัวเองดีกว่า..ว่าเด็กนั่นเป็นอะไร ...คนติดตามที่ขาดไม่ได้หรือคนสำคัญที่จำเป็นต้องมี ไม่อย่างนั้นนายคงไม่โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องขนาดนี้...อีกอย่าง การดูแลผู้ติดตามน่ะ...ไม่ต้องเย็นชานักก็ได้ จะถามไถ่ใส่ใจดูแลเพิ่มขึ้นอีกหน่อยมันก็ไม่ผิดกติกาอะไร คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามมีตั้ง 3 คนแถมเป็นเด็กทั้งนั้น คนนี้ออดนิดคนนั้นอ้อนหน่อย เจ้าหนูคลาวด์ยิ่งใจดีๆ อยู่เดี๋ยวได้ใจอ่อนกันพอดี สุดท้ายมีหวังได้เป็นจริงตามที่เจ้าแซคมันว่า...นายเตรียมหาผู้ติดตามคนใหม่ได้เลย
เสียงประตูห้องปิดลงเบาๆ ปล่อยให้เจ้าของห้องยืนนิ่งพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องกว้างที่มีแต่ความมืดและความเงียบงันอยู่เพียงลำพัง
...................................................................
“วันนี้กับพรุ่งนี้ไม่มีภารกิจข้างนอกครับ นอกจากจะมีคำสั่งฉุกเฉิน” คลาวด์มองไล่ไปตามตารางเวลาทำงานของโซลเยอร์เฟิร์สคลาสซ้ำอีกครั้งตามด้วยการเลื่อนแฟ้มหนังสีดำเข้าไปใกล้ “เอ่อ..สรุปรายงานการปฏิบัติของภารกิจที่เพิ่งเสร็จไป ถ้าตรวจทานเรียบร้อยแล้วก็ขอความกรุณาลงชื่อด้วย”
วันนี้เด็กหนุ่มอุตส่าห์รีบมาแต่เช้าตรู่ หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าเซฟิรอธคงจะยังไม่ตื่น ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่คิด..เขาจะได้เขียนโน้ตฝากข้อความไว้แทนการเผชิญหน้า
...คลาวด์ไม่อยากถูกเกลียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเซฟิรอธ
แต่พอแง้มประตูออกแล้วค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปมองดูลาดเลาข้างในเท่านั้น ร่างบางก็ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นั่งรออยู่หลังโต๊ะทำงานในสภาพที่ดูออกว่าเอาแต่นั่งจ้องประตูห้องแล้วก็ไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน
...เช้าขนาดนี้รับรองได้ว่าไม่มี ‘ตัวช่วย’
นัยน์ตาสีมรกตกลับมาเย็นชาเหมือนเก่าในขณะที่มือใหญ่ได้รูปเปิดแฟ้มออกตรวจดูเอกสารข้างในแล้วตวัดปากกาเซ็นชื่อด้วยอาการเฉยเมยตามปรกติ จนคลาวด์แอบลอบถอนใจเบา
“วันนี้แต่งตัวแปลกนะ”
เซฟิรอธที่ยื่นแฟ้มคืนให้ถามขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่นัยน์ตาคู่คมจ้องเป๋งมายังคนตรงหน้าที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ไมใช่เครื่องแบบสีน้ำเงินของชินระเหมือนทุกวัน
“ต้องพาเด็กๆ ออกไปข้างนอกครับ” คลาวด์ที่มือสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ตอบเลี่ยงๆ พลางก้มหน้างุด นึกภาวนาในใจขออย่าให้ต้องเจอะเจอกับอะไรแบบเมื่อคืนอีกเลย
“เอ้า! นี่”
อยู่ๆ ร่างสูงก็กุมมือเล็กยกขึ้นคลี่ให้แบออก หยิบของบางอย่างวางลงบนฝ่ามือนิ่ม แล้วกำรวบไว้ทั้ง ‘ของ’ ทั้ง ‘มือคนรับ’ ทำเอานัยน์ตาสีฟ้าใสเบิกกว้างอย่างตกตะลึงขณะมองผ่านปอยผมสีเงินไปสบเข้ากับดวงตาสีเขียวที่อยู่ตรงหน้า
ใบหน้าของเซฟิรอธมีสีเข้มขึ้นนิดหน่อยตรงโหนกแก้ม เสียงก็ดังขึ้น
“อย่าไปทำอะไรขายหน้าเด็กพวกนั้นล่ะ”
คลาวด์กะพริบตาปริบ เมื่อของอีกอย่างถูกยัดใส่มืออีกข้าง
“ใช้เครื่องสำรองของฉันไปก่อน กว่าชินระจะเบิกเครื่องใหม่ให้แทนเครื่องเก่าที่ตกน้ำไปที่ไอซีเคิลคงอีกพักใหญ่ แล้วก็...”
ร่างสูงหลับตาลงก่อนลืมขึ้นอีกครั้งอย่างคนที่ตัดสินใจแน่วแน่ เซฟิรอธลุกขึ้นยืน มือแข็งแรงหยิบดาบคู่ใจที่วางพิงอยู่มุมห้องออกมาส่งให้
“เอาไปเช็กสภาพ แล้วคอยรับกลับมาด้วย”
ท่ามกลางแสงแดดอ่อนจางยามเช้า ริมฝีปากของคลาวด์สั่นระริกคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก
“อะไร”
“ปะ..เปล่าครับ”
คลาวด์สั่นหน้าพลางเบี่ยงตัวเปิดทางให้เซฟิรอธเดินเข้าไปในห้องชั้นใน จากนั้นค่อยก้มลงมอง ‘ยาดมอันใหม่’ กับ ‘โทรศัพท์มือถือ’ ที่ต้องรีบเก็บใส่กระเป๋าเพื่อรับมาซามุเนะมาถือไว้ เด็กหนุ่มแย้มรอยยิ้มบางพลางพึมพำคำพูดที่ไม่กล้าพูดออกไปเมื่อกี้ออกมาเบาๆ
...ทำไมวันนี้คุณใจดีจัง
เด็กหนุ่มเดินยิ้มออกจากห้องไป หารู้ไม่ว่าก่อนหน้านั้นตัวเองยังอยู่ในสายตาเจ้าของห้องที่ยืนหลบอยู่หลังประตูบานเล็ก
เซฟิรอธหลับตาลงพลางผ่อนลมหายใจยาว สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง หรือความอ่อนโยนของสายลมที่พัดพลิ้วราวกับจะปัดเป่าความรู้สึกเหมือนใจหายไม่ออกแบบเมื่อคืนให้ค่อยๆ บรรเทาลง
วินาทีนั้น... แม้ไม่รู้จักความรัก แต่เซฟิรอธมั่นใจว่าคลาวด์ สไตรฟ์เป็นของของเขา
...............................................................................
ตอนนี้ยาวพอใช้ ชดเชยตอนที่แล้วที่ค่อนข้างสั้น (จริงๆ คือไม่รู้จะตัดตอนไหนตะหาก -*-)
ตอนนี้คลาวด์คุงมีบทซะที ถึงจะไม่มากแต่ก็สำคัญนะ พอพิมพ์เสร็จ น้องสาวก็โวยวายว่าให้แองจีลออกมาขัดจังหวะทำไม คนเขียนก็งง..ก็ให้ออกมากระทุ้งความรู้สึกเซฟจังไง แต่ไอน้องตัวแสบกลับบอกว่า ถ้าแองจีลไม่เข้ามารับรองว่ามี NC แหงๆ ได้ยินแล้วก็อึ้ง...เออ... จริงของมันแฮะ 555+ เพราะงั้นใครจะจิ้นต่อก็ตามใจ ตามสบายนะคะ
ตอนหน้าคงจะเขียนถึงสาเหตุว่าเบื้องหลังมันเกิดอะไรขึ้น... 3 หนุ่มผมเงินเป็นน้องใครแน่ (แต่ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วใช่มะ) ...แล้วก็..เซฟจังจะเอายังไง
ขอย้ำอีกครั้ง...คนเขียนเป็นแม่ยกคลาวด์ ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมฟิกนี้ลำเอียงเข้าข้างคลาวด์แบบไม่ลืมหูลืมตา
คุณคนรักคลาวด์ หายค้างยังคะ ^^ รูฟัสไม่ได้อุ้มคาดาจไปทำมิดีมิร้ายนา...แต่...จะอุ้มไปทำอะไรตอนหน้าก็รู้ค่ะ