13/11/54

Tokyo Babylon : After Lives! (p3)


Chapter 3: I for You

เสียงทุ้มต่ำอันแสนคุ้นเคยดังก้องมาจากด้านบนศีรษะ ดวงหน้าเรียวเงยขึ้นก่อนเบิกตากว้าง วินาทีนั้นราวถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด ...กาลเวลาคล้ายย้อนคืนสู่อดีต

...ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนกิ่งซากุระ

อาจเป็นความคิดถึงที่มีมากจนเกินไป หรือไม่ก็...อาจเป็นภาพลวงหลอกตาที่มายาแห่งแสงจันทร์บิดเบือนสร้างขึ้นมาปรากฏให้เห็น

...เป็นไปได้หรือ?

ในเมื่อเขาเองที่เป็นคน.....

"ถ้าคุณทำแบบนั้น จะไม่มีซากุระสีชมพูเอานะครับ" เสียงของชายผู้นั้นยังดังต่อเนื่อง คล้ายเป็นการพิสูจน์ว่าไม่ใช่ความฝัน “ดอกซากุระเดิมเป็นสีขาว แต่เพราะมีศพฝังอยู่ใต้ต้น เมื่อดูดเลือดจากศพ ดอกซากุระจึงกลายเป็นสีชมพู จำได้ว่าเคยบอกซุบารุคุงไปแล้วนะ”

"คุณ...เซย์ชิโร่..."  

เสียงที่ลอดออกจากริมฝีปากบางแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ เมื่อเงาร่างนั้นขยับตัวลงมายืนเคียงข้าง

ร่างสูงหนาในชุดสูทสีดำตัวเดียวกับที่เห็นครั้งสุดท้ายดับก้นบุหรี่ในมือ นัยน์ตาดำ ยาวรีจ้องมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ...

"ดีใจจังครับ ที่ซุบารุคุงยอมรับ ตาข้างนี้ไว้” พูดพลางไล้ปลายนิ้วลงบนเปลือกตาขวาเบามือ เมื่อเห็น
ว่าร่างเล็กกว่าได้แต่ตะลึงค้างจนลืมผละหนี มือใหญ่ก็ยกขึ้นโอบข้างแก้มเบาๆ หากเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น

“เสียใจที่เจอผมเหรอครับ”

ซุบารุส่ายหน้า ลูกแก้วสีมรกตจับจ้องที่ใบหน้าคู่สนทนาไม่วางตา

คราวนี้ฝ่ามืออุ่นแนบกระชับ นิ้วยาวขยับไล้ผิวแก้มนิ่มช้าๆ แล้วเลื่อนลงมาแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากดุจจะเฟ้นหาความลับที่ซุกซ่อน ก่อนจะสรุป

“งั้นก็ดีใจจนพูดไม่ออกสินะ”

จากนั้น...แค่ออกแรงดึงเบาๆ ร่างเล็กบางก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างง่ายดาย

....รู้สึกเหมือนว่าช่วงเวลานี้จะยาวนานต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่....

“ทำไมครับ” ในที่สุดคนที่เอาแต่นิ่งเงียบก็เอ่ยถาม

“อะไรครับ”

“ทำไม ถึงได้.....”

ท่อนแขนที่โอบรอบแผ่นหลังกดน้ำหนักแรงขึ้นอย่างจงใจ

“อยากรู้เหตุผลเพื่อจะได้สวดส่งวิญญาณให้ผมได้ถูกงั้นเหรอครับ”

“ทำไม...” ไหล่บางเริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ มือเล็กสั่นระริกเสียจนมือใหญ่ต้องเลื่อนมารวบกำไว้แน่นอย่างแปลกใจ

“ซุบารุคุง?”

“ทำไม... ถึงต้องบังคับให้ผม ฆ่า คุณอีกเป็นครั้งที่สอง”

หยาดน้ำใสกลิ้งผ่านพวงแก้มร่วงหล่นลงพื้นโดยปราศจากเสียง

...เจ็บปวดเหลือเกิน

....ความรู้สึกยามที่มือเปรอะไปด้วยเลือด น้ำหนักจากร่างไร้เรี่ยวแรงที่ทรุดลงทาบทับ และสุดท้าย...ลมหายใจที่ขาดหาย

“ทำไมถึงได้เกลียดผมมากถึงขนาดนั้น.... ”

 ราวทนฟังต่อไปไม่ไหว ปลายนิ้วอุ่นๆ แตะลงที่ริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบ

“อย่าร้องไห้สิครับ” เสียงนุ่มกระซิบปลอบดุๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้นสักหน่อย”

“ก็...”

“ผมไปไหนไม่ได้ต่างหากครับ ทั้งๆ ที่เห็นเส้นทางของโลกหน้าอยู่ไกลๆ แต่พอเข้าไปใกล้..เส้นทางนั้นก็ดูจะห่างออกไป จนได้พบกับโฮคุโตะจังถึงได้เข้าใจ”

“ครับ?” ซุบารุกระพริบตาอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ผมยังไม่ตายนี่ครับ” เซย์ชิโร่แย้มรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่ง ยกปลายนิ้วไล้เปลือกตาข้างขวาของคนตรงหน้าอีกครั้ง “ผมยังมีชีวิตอยู่ในตัวคุณ เหมือนกับโฮคุโตะจังที่ยังอยู่ในโลกนี้ได้เพราะเป็นฝาแฝด เป็นส่วนนึงของคุณเหมือนกัน”

“หมายความว่า...”

“คงต้องรอให้อายุขัยของคุณหมดก่อนมั้งครับ เรา 3 คนถึงจะได้ไปโลกหน้าด้วยกัน ตอนนี้ผมเลยเป็นได้แค่วิญญาณที่ยังไปไหนไม่ได้เท่านั้น เทียบกับ ซากุระสึกะโมริ แล้ว พลังอำนาจของคุณมากกว่า วิญญาณธรรมดาๆ อย่างผมไม่รู้กี่เท่า ตอนนี้ถ้าซุบารุคุงจะใช้เวทสลายวิญญาณ ผมก็คงต้องยอมรับอย่างเดียว...อย่างน้อย...แค่ได้เห็นหน้าคุณวันนี้ก็พอใจมากแล้ว”

คนตัวเล็กกว่าตรงหน้าไม่โต้ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้าไปมาอีกครั้ง อ้อมแขนจากที่คลายออกหลวมๆ ก็กลับกระชับแน่นขึ้น

“พูดถึงขนาดนี้แล้ว ซุบารุคุงจะใจร้าย ไม่เก็บวิญญาณเร่ร่อนน่าสงสารอย่างผมไปเลี้ยงมั่งเหรอครับ”

คนฟังกลอกตางุนงง ความลังเลฉายรอยชั่วแวบ จนต้องเบนหลบดวงตาดำสนิททอประกายจัดที่ยังจับจ้องตรงมา

...ไม่ต่างจากคำปฏิเสธกลายๆ ที่น่าจะเพียงพอให้หยุดคิด

ไม่ไว้ใจสินะครับ เพราะผมเคยทำให้คุณเจ็บปวดเสียขนาดนี้” เซย์ชิโร่ที่ยังยิ้มได้เรื่อยๆ คลายมือลงโอบรอบเอวอีกฝ่ายไว้ พลางเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ช้าๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ากระทบ ก่อนกระซิบถามเบาๆ

“ซุบารุคุงเกลียดผมรึเปล่า...”

ไม่มีคำตอบจากร่างเล็กตรงหน้า ..แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ให้โอกาสผมสิครับ” ริมฝีปากนุ่มยั่วยิ้มเป็นต่อยังคลอเคลียอยู่ข้างใบหู “1 ปีต่อจากนี้ ผมจะทำให้ซุบารุคุงรักผมให้ได้เหมือนเดิม ดีมั้ย

ใครจะรู้...วินาทีถัดมาร่างเล็กก็สะบัดตัวออกรวดเร็ว หมุนตัวก้าวเดินออกไปโดยไม่ยอมมองหน้า มีแต่เสียงพึมพำซ้ำๆ ซากๆ ตามลมมาเบาๆ

“ขี้โกงนี่ คุณเซย์ชิโร่ขี้โกง”

......

......

รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังค่อยๆ เลือนหายไป รอยยิ้มที่แสนเย็นชาของ อดีตซากุระสึกะโมริผุดขึ้นช้าๆ นัยน์ตาคมกริบมองตามร่างบางที่เดินจ้ำไปข้างหน้าอย่างหมายมั่น


...คืนนี้ผมจะปล่อยคุณไปก่อน

...แต่อีกไม่นาน คุณจะกลับมาเป็นของผมอีกครั้ง

Tokyo Babylon : After Lives! (p2)


Chapter 2: ‘สุเมรากิ หรือ ซากุระสึกะ


อาทิตย์ที่แล้ว....

บ้านใหญ่ตระกูลสุเมรากิ เกียวโต

“ขอโทษที่ต้องให้รอนาน คุยกันเสร็จแล้วล่ะ”

เสียงเบาแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าทว่ายังคงความเข้มแข็งหนักแน่นของผู้นำตระกูลสุเมรากิ รุ่นที่ 12 ดังขึ้นขณะเลื่อนเก้าอี้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเข้ามาในห้องรับรองขนาดใหญ่

ทุกสิ่งจมอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงริบหรี่จากตะเกียงน้ำมันหอมดวงเล็กๆ ที่มุมห้อง แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้หัวใจของหญิงชราวูบไหวไปด้วยความเจ็บร้าว

...แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องจับต้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของ หลานชาย ที่นั่งพับขาหันข้างให้ประตู ข้างหน้ามีชุดทำพิธีของ ผู้นำตระกูลแบบเต็มยศที่เจ้าตัวเคยสวมใส่วางไว้

...หลานชายที่ย่าคนนี้ไม่เคยปกป้องได้แม้สักครั้ง

ร่างเล็กๆ ผอมบางอยู่ในชุดสีดำสนิทต่างจากที่เคยเห็นยามปรกติ ดวงหน้าซีดขาวที่ต้องแสงไฟเป็นสีชมพูอมส้มดูเย็นชา สงบนิ่ง เป็นการยอมรับและยืนยันในสิ่งที่ตนเองตัดสินใจลงไปแล้ว   

ซุบารุขยับตัวช้าๆ ขณะเบือนหน้ามาหา หญิงชราแย้มรอยยิ้มบางตอบรับ แต่ทันทีที่สบเข้ากับ ดวงตาสีอำพันข้างนั้น อดีตผู้นำตระกูลสุเมรากิก็ถึงกับชะงัก...

...พลังเวท รุนแรง แข็งแกร่ง หากเต็มไปด้วยความมืดดำพุ่งเข้ากระทบ ...แม้เพียงบางเบา แผ่วพลิ้วราวสายลมอ่อนโชยผ่านดอกไม้ไหว แต่ก็ทำให้ทั่วทั้งร่างแข็งเกร็ง ใจเต้นระรัว สั่นสะท้านเจียนจะขาดเสียให้ได้


...ซากุระสึกะ

...ซากุระสึกะโมริ

...คนๆ นี้คือ ประมุขตระกูลซากุระสึกะคนปัจจุบัน ....ซากุระสึกะโมริ........


“ท่านย่า”

เสียงเรียกที่แสนคุ้นหูดังขึ้นเบาๆ ดึงจิตใจที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนและเจ็บปวดให้กลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

เมื่อสงบอารมณ์ ลืมตาขึ้น ก็เห็นหลานชายคนเดียวเข้ามาอยู่ข้างๆ แววตาตื่นตกใจ ท่าทางลนลาน ทำอะไรไม่ถูกที่เคยเห็นอยู่เสมอเรียกรอยยิ้มให้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง

“ไม่เป็นไร..ย่าแค่เหนื่อยนิดหน่อย” หญิงชราโบกมือน้อยๆ ให้อีกฝ่ายคลายความกังวลพลางมองไปรอบๆ “มืดแล้ว ทำไมไม่ให้ใครเข้ามาจุดไฟเพิ่ม”

“ไม่มีใครกล้าเข้ามาครับ” ซุบารุยิ้มอ่อนๆ ยกมือขึ้นแตะซีกหน้าด้านขวาเบาๆ เพื่อบอกเป็นนัยๆ “แล้วผมก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรด้วย”

“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ควรละเลยมารยาทที่ควรมีต่อผู้นำตระกูล” รุ่นที่ 12 นิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ

...แค่นี้ ก็แสดงความไม่ยำเกรงกันเสียแล้วงั้นหรือ

“อดีต..มากกว่าครับ” รุ่นที่ 13 ยังยิ้มได้ ประกายตายังสงบนิ่ง ไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งที่ตนไม่เคยต้องการมาแต่ต้น “กลุ่มผู้อาวุโสคงไม่ยอมรับ ผมอีกแล้ว”  

...ทั้งความเย็นชา หมางเมิน ของคนที่ได้พบยามเดินทางมาถึงบ้านใหญ่

...ความเงียบงัน ว้าเหว่ตลอดเวลาที่รอ คำพิพากษาอยู่พียงลำพังในห้องที่มืดมิดและหนาวเย็น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 และ

...ความกลัว หวาดระแวง ของคนใกล้ชิดที่หลบลี้หนีหน้าที่ยังอวลอยู่ในทุกอณูของบรรยากาศรอบๆ

ทุกอย่างเป็นหลักฐานชั้นดี บ่งบอกถึง ผล ที่กำลังจะได้รับรู้

...กลุ่มผู้อาวุโสคงมีความเห็นให้ ปลด เขาออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างแน่นอน

“พวกนั้นยอมรับการตัดสินใจของซุบารุ แต่..ยอมรับผลที่จะเกิดต่อมาจากการตัดสินใจนั้นไม่ได้” เสียงถอนใจยาวดังขึ้นก่อนจะเอ่ยคำอธิบายต่อไป “สุเมรากิกับซากุระสึกะเป็นศัตรูกันมานาน..นานมาก..นานเกินไป นานจนคนของสุเมรากิทุกคนไม่อาจเปิดใจยอมรับใครก็ตามที่มีแม้เสี้ยวของสายเลือดของซากุระสึกะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซากุระสึกะโมริด้วยแล้ว.....”

คนที่กำลังจะเป็น อดีต ผู้นำตระกูลยังคงยิ้มได้ ดวงตานิ่งเฉยจนคาดเดาความรู้สึกไม่ถูกอีกครั้ง

“การสืบทอดตำแหน่งรุ่นที่ 14 คงจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า แต่ไม่ว่ายังไงผู้อาวุโสทุกคนรวมทั้งย่าด้วยคงต้องขอร้องให้ซุบารุอยู่เป็นองเมียวจิของตระกูลตามเดิม”

“เอ๋...” น้ำเสียงบอกชัดว่าคนฟังแปลกใจจริงๆ

“สำหรับสุเมรากิแล้วผู้มีพลังวิญญาณแก่กล้ารุ่นหลังๆ นี้หายากเหลือเกิน ขนาดผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้นำรุ่นที่ 14 ได้ก็ยังอ่อนด้อยเสียจนน่าหวั่นใจ ในขณะเดียวกันผู้นำของซากุระสึกะตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและทรงอำนาจที่สุดเท่าที่เคยมีมา...จนอาจลบชื่อสุเมรากิทั้งตระกูลออกไปได้อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร....”

ฉับพลัน ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าก็ค้อมศีรษะลงต่ำเสียจนแทบเป็นการก้มคำนับ 

“ในฐานะของผู้นำตระกูล รุ่นที่ 12 คงต้องขอร้องว่า..โปรดเมตตา สุเมรากิ ด้วย”

“ท่านย่า.....ผม...ผมไม่....”

หลานชาย ที่ตอนนี้กลายเป็นประมุขตระกูลซากุระสึกะเบิกตากว้างด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ พลางขยับเข้าไปจนชิด สองแขนยื่นออกมา แต่แล้วก็หยุดไว้เมื่อปลายนิ้วแตะถูกชุดสีขาวสะอาดของอีกฝ่าย


...สีขาว..ช่างตัดกับสีดำของชุดที่เขาใส่อยู่

...เมื่อ 9 ปีที่แล้ว เขาสูญเสียพี่สาว

...และตอนนี้ เขากำลังจะเสีย ย่า และความเป็น สุเมรากิที่ติดตัวมาตลอดนับแต่เกิดมา


หัวใจเหมือนถูกบีดรัดจนเจ็บร้าว ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดลอดออกมาจากลำคอ หากแต่ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด


...หรือ สุเมรากิ ซุบารุ ที่แสนอ่อนโยนคนนั้นจะเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ


แต่ในวินาทีถัดมา ทั่วร่างก็โอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดอันแสนนุ่มนวล อ่อนโยน เช่นที่เคยได้รับเสมอเมื่อครั้งยังเล็ก

“แต่ในฐานะ ย่า คนนึง คงบอกได้แค่ว่า ถ้ามีอะไรที่คนแก่ๆ แถมขาพิการคนนี้พอจะทำได้ก็ขอให้บอก เพราะตอนนี้ย่าเหลือแค่ซุบารุคนเดียว เราเหลือกันแค่ 2 คนเท่านั้น”

แม้ปราศจากคำพูดใดๆ แต่น้ำตาที่หยุดไหลไปนานกลับเอ่อล้นท่วมหัวใจและรินไหลออกมาช้าๆ ตามด้วยการทิ้งตัวลงในอ้อมแขนที่ยามเป็นเด็กรู้สึกว่ามันช่างอบอุ่นนักหนา แล้วโอบกอดตอบรับสัมผัสที่ได้รับแนบแน่น

“ถ้านี่เป็นสิ่งที่ซุบารุตัดสินใจเลือกแล้ว” มือเหี่ยวย่นลูบไล้ศีรษะเล็กไปมาอย่างปลอบโยน “ขอแค่ว่า ถึงซากุระช่วงชิงหัวใจไปได้สำเร็จ แต่อย่าปล่อยให้ซากุระชุบย้อมวิญญาณจนเป็นสีดำ ...พลังเวทกับการนำไปใช้มันเป็นคนละเรื่องกัน”

ไม่มีคำตอบ แต่รู้สึกได้ถึงการพยักหน้ารับเบาๆ

“อีกอย่าง แม้จะไม่มีสิ่งสำคัญให้ปกป้องแล้ว ก็จงปกป้องผู้อื่นเพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถปกป้องสิ่งสำคัญของตนเองได้ต่อไป แค่นี้...ย่าขอมากไปมั้ย”

ร่างในอ้อมแขนพยักหน้ารับอีกครั้ง นิ้วมือผอมๆ จึงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าให้เบามือ

“ไป...ไปล้างหน้าล้างตาก่อน แล้วมาทานข้าวกัน เอาชุดนี่ไปเก็บซะด้วย”

คล้อยหลังผู้นำรุ่นที่ 13 ที่เดินออกไปอย่างว่าง่าย รุ่นที่ 12 ก็ผ่อนลมหายใจยาว จิตใจพลันสงบขึ้นมาอย่างประหลาด

...สุเมรากิแม้จะเข้าตาจนแต่ก็ยังคงอยู่ต่อไปได้ โดยมีซุบารุเป็นผู้ค้ำจุนตระกูลต่อไป แม้จะไม่ใช่ผู้นำตระกูลก็ตาม

ที่สำคัญ

...เธอไม่ได้เสียหลานชายให้กับซากุระสึกะ

สายเลือดสุเมรากิอันเข้มข้นยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างนั้น

.....................

.................

.................................................................................


กลางดึก....

หลังทานอาหารมื้อเย็น แม้ผู้เป็นย่าจะคะยั้นคะยอแกมบังคับให้พักค้างคืนอยู่ที่บ้านใหญ่ แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากให้ผู้คนในบ้านต้องนอนไม่หลับด้วยความหวาดผวาไปตลอดทั้งคืน

โชคดีที่ยังทันรถชินคันเซ็นเที่ยวสุดท้าย

การกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงที่ บ้านใหญ่ไม่น่ากลัวอย่างที่คาดไว้ นอกจากนี้ยังได้เห็นรอยยิ้มของท่านย่ายามเขาส่ง ของ ที่มีคนฝากมาให้

อดีตผู้นำตระกูลสุเมรากิ..ซากุสึกะโมริคนปัจจุบัน..แย้มรอยยิ้มบางอย่างสบายใจขณะเดินจากสถานีรถไฟกลับที่พัก

บรรยาศยามราตรีเงียบสงบ พระจันทร์ทอแสงสีเงินส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า รอบตัวมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากเสาไฟฟ้าตามรายทางจากที่ไกลๆ ส่องให้พอเห็นทางเดินข้างหน้า

...หนาว

อยู่ๆ ลมก็พัดกระโชกแรงจนต้องหลับตาแล้วกระชับเสื้อคลุมให้แนบตัว รู้สึกได้ถึงอะไรสักอย่างที่ปลิวคว้างลอยวนอยู่รอบๆ

เมื่อ่ลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้ากลับไม่ใช่สองข้างทางที่เคยเดินผ่านทุกที แต่เป็น...ซากุระต้นใหญ่ที่กำลังผลิดอกเต็มต้น กลีบซากุระสีชมพูระเรื่อโปรยปรายลงมาอย่างงดงาม จนต้องเดินเข้าไปใกล้ราวต้องมนต์สะกด

...ความทรงจำที่เคยลืมเลือน..ภาพที่เด็กชายตัวน้อยเคยเห็นเมื่อสิบกว่าปีก่อนย้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง

แค่ร่ายเวทเบาๆ ที่โคนต้นก็ลบเอาความเศร้า ความหมองหม่น และจิตพยาบาทที่มีอยู่ออกไปได้หมด วิญญาณเด็กหญิงที่เป็นอิสระลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าส่งยิ้มมาให้ก่อนจะหายไป

ซุบารุโบกมือตอบ ก่อนจะส่ายหน้าให้กับความไม่ได้เรื่องของตนเอง

...เขาควรทำสิ่งนี้เสียนานแล้ว ไม่น่าปล่อยให้เธอต้องรอนานขนาดนี้

แต่แล้วในวินาทีถัดมาก็รู้สึกผิดสังเกต

กลีบซากุระยังคงปลิวกระจายอยู่เบื้องหน้าไม่ยอมเลือนหายราวตอบรับพลังเวทของใครสักคน


....กลิ่นบุหรี่ ???



 “คุณชอบซากุระมั้ยครับ”

Tokyo Babylon : After Lives! (p1)

Shonen ai Warning : ช่วยไม่ได้ พระ-นายเรื่องนี้เค้ามาเป็นแพ็กเกจคู่ แต่ใจจริงเจสชอบคู่ซุบารุ-คามุยมากกว่าอะ  (ใครเห็นด้วยขอเสียงค่ะ)    

Author : jes

Pairing : มันจะคู่ไหนได้อีก ก็มีอยู่คู่เดียว แต่จะเอาตัวละครอื่นมาช่วยสร้างความร้าวฉาน เอ้ย สร้างสีสันแล้วกันนะ

Rate : NC17+ (อ่านไปเหอะ เขียนไปงั้นแหละ ไม่มีหรอก)

Disclaimer : เนื้อเรื่องและตัวละครเป็นลิขสิทธิ์ของ clamp ค่ะ ที่เจสเอามาเขียนเรื่องราวเพิ่มเติม ใครผ่านไปผ่านมาเจอเข้า..อ่านแล้วสนุกไปด้วยเจสก็ดีใจ ถ้าจะคัดลอกไปไหนก็ขอให้บอกกล่าวกันสักนิดนะคะ

Intro : ปวารนาตัวเป็นแม่ยกหนุ่มน้อยซุบารุคนนี้มาตั้งแต่อยู่ม.ต้น จนบัดนี้ก็ร่วมเกือบยี่สิบปี ไม่เคยนึกเขียนฟิก Tokyo Babylon ตรงๆ สักที ได้แต่เขียน cross กับ baramos เพราะพยายามทำใจยอมรับการตัดสินใจของ clamp ในการกำหนดทางเดินชึวิตของตัวละคร แต่พอไปอ่านเจอซุบารุที่รักในการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะ x หรือ tsubasa ก็ต้องถอนใจเฮือก ทำไมน้องถึงไม่มีความสุขในชีวิตกะเค้าบ้างสักทีนะ ชีวิตนี้ช่างรันทดแล้วรันทดอีก อย่ากระนั้นเลย...ถ้าแม่ตัวจริงอย่าง clamp ยังไม่มีคิวว่าง เดี๋ยวแม่ยกอย่างเจสจัดให้เองจ้ะ

-----------------------------------------------------------------------

Chapter 1: destiny or dream

2 เดือนที่ผ่านมา....

หลังจาก.....มังกรฟ้าที่ตั้งใจว่าจะเป็นผู้ ปกป้องและมังกรธรณีที่ยืนยันว่าจะเป็นผู้ เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไม่อาจเอาชนะกันได้อย่างเด็ดขาด ทั้ง 2 ฝ่ายจึงตกลงหยุดวงล้อแห่งชะตากรรม..ยุติสงครามระหว่างกันลงชั่วคราว  เพื่อใช้เวลา 15 ปีข้างหน้าเป็นเครื่องมือตัดสินอนาคต ว่าโลก...ยังควรค่าแก่การปกป้อง หรือคุ้มค่าที่จะได้รับเปลี่ยนแปลง...อีกครั้ง

.........

......... 

โตเกียวเริ่มกลับเข้าสู่สถานการณ์ปรกติ

…………………………


สถานีรถไฟฟ้า

“ขอบคุณที่กรุณาครับ”

ชายหนุ่มร่างเล็กก้มลงโค้งคำนับก่อนพลางกล่าวอำลาหญิงวัยกลางคนที่ลนลานรีบโค้งคำนับตอบด้วยความตกใจ

“ทางนี้ก็ขอขอบคุณเช่นกันค่ะ คุณ..เอ่อ....”

แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าอายุ 25 ปีแล้วก็ตาม แต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับดูอ่อนเยาว์ราวหนุ่มน้อยที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีดี หนำซ้ำเครื่องแต่งกายสีดำสนิทที่สวมใส่อยู่ก็ยิ่งขับผิวที่เดิมคงจะขาวอยู่แล้วให้ขาวจัดมากขึ้น เมื่อคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีเดียวกันก็ยิ่งข่มให้ร่างนั้นดูเล็กบางจนยากจะทำใจให้เชื่อว่าคนๆ นี้จะเป็น.......

ร่างเล็กยืดตัวขึ้น คลี่ยิ้มสดใส

“ซุบารุครับ ...สุเมรากิ ซุบารุ”

................


จากสถานีรถไฟฟ้า ยังต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีก็จะถึงอพาร์ตเมนต์ที่พัก

...ห้องพักเล็กๆ ที่เก็บงำทั้งความอบอุ่น ความสุข ความเศร้า ความเจ็บปวด หรือแม้แต่ความทุกข์ทรมานเอาไว้

ทันทีที่ปิดประตูห้อง ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนหน้าตึงกอดอกพิงระเบียงด้านนอกอยู่ก็หันหลังให้ทันที

บรรยากาศอึดอัด อึมครึม คล้ายคนหายใจไม่ออกห้อมล้อมอยู่รอบตัว เล่นเอาเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาลอบถอนใจเบาพลางเลื่อนบานประตูกระจกที่กั้นอยู่ออกก่อนเดินเข้าไปใกล้

ร่างตรงหน้าไม่หันมามองแม้สักนิด

“โกรธอะไรครับ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

นัยน์ตาดำรีตวัดมองแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“เปล่านี่ครับ”

“โกรธผมเหรอครับ” คนถามยังพยายามทำความเข้าใจต่อไป

“ไม่มีอะไร เรื่องของผมมันไร้สาระน่ะครับ อย่าสนใจเลย”

...แต่ท่าทางกับคำพูดของคุณมันตรงข้ามกันเลยนะ

“คุณเซย์ชิโร่....”

มือเล็กๆ ยื่นเข้ามาใกล้ แต่ก็ชะงักค้าง ไม่แตะลงมาบนท่อนแขนแข็งแรงอย่างที่อีกฝ่ายหมายใจไว้ แต่แค่เห็นปฏิกิริยาอึกๆ อักๆ ของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าที่ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวยังไงด้วยแล้ว ใจก็อ่อนยวบไปกว่าครึ่ง

...น่ะ ขอแกล้งอีกนิดก็ดีนะ

“ฮิ ฮิ ไม่โกรธ แค่งอนนิดหน่อยเอ๊งงงงงง เนอะ...เซย์จัง...เนอะ”

จู่ๆ เสียงใสๆ ของหญิงสาวก็ดังขัดจังหวะมาจากข้างในห้อง บรรยากาศสดใสค่อยๆ แทรกเข้ามาแทนที่ ซุบารุหันกลับไปมองแล้วก็ต้องระบายรอยยิ้มออกมา

“พี่”

ร่างโปร่งบางของหญิงสาวนั่งไขว่ห้างหมิ่นๆ อยู่บนโต๊ะทานข้าว แฝดพี่ที่เมื่อก่อนเหมือนกับคนน้องแทบเป็นพิมพ์เดียวกัน ถึงตอนนี้จะโตๆ กันแล้วก็ยังค่อนข้างคล้ายกันอยู่

“ถ้าโฮคุโตะจังมาแล้ว...ก็ดีครับ ผมขอตัวดีกว่า”

ร่างสูงหมุนตัวกลับเชื่องช้า อ้อยอิ่งรอเวลาเล็กน้อย จนรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ จากร่างเล็กที่ผวาเข้ามาดึงแขนเอาไว้แน่นนั่นล่ะ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทั้งที่ริมฝีปากและดวงตาก็ปรากฏขึ้นชั่วแวบก่อนจางหายไปในวินาทีต่อมา

“คุณเซย์ชิโร่....” ซุบารุละล่ำละลักด้วยความตกใจ “ขอโทษ ผมขอโทษนะ อย่า...อย่าเพิ่งหายไปนะครับ”

เมื่อร่างสูงหันกลับมา นัยน์ตาและรอยยิ้มที่แสนเย็นชาเหมือนเมื่อครั้งยังเป็น ซากุระซึกะโมริก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า บรรยากาศบีบอัด กดดันชนิดหยุดลมหายใจพุ่งตรงเข้าโจมตีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวอีกครั้ง จนร่างเล็กได้แต่นิ่งงัน

“เมื่อกี้ทำไมคุณแนะนำตัวแบบนั้น”

“ผม...แนะนำตัว...เอ่อ....” คนตกเป็นจำเลย พูดไม่ออก บทจะโยกโย้โยเยก็พูดกันไม่รู้เรื่อง พอจะเข้าเรื่องก็ตรงเผงเสียจนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก “ผม...แนะนำตัว....เอ่อ....”

“โธ่เอ้ย!” เสียงผู้หญิงคนเดียวในห้องดังขึ้นอย่างสุดแสนจะขัดใจ พออดรนทนไม่ไหวเลยต้องเดินออกมาร่วมวงสนทนาที่ระเบียงด้านนอกด้วยอีกคน “เซย์จังนี่...พูดอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ ต่อให้อีก 3 วันถัดไป ซุบารุก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี........แล้วก็นะ ซุบารุเอ้ย... เซย์จังเค้าโมโหที่เมื่อกี้เราไปแนะนำตัวกับ...เอ่อ...ว่า “สุเมรากิ ซุบารุ” ไงล่ะ”

“หา”

“ไม่ต้องมาหาอะไรแถวนี้หรอกย่ะ” ว่าพลางเอานิ้วจิ้มหน้าผากน้องชายจึ้กๆ “ทำไมไม่บอกไปล่ะว่า....”

“ซากุระสึกะครับ...ซากุระสึกะ ซุบารุ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นกลบเสียงสองพี่น้อง “ตอนนี้คุณคือ ซากุระสึกะโมริคนปัจจุบัน เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากผม แล้วทำไมยังต้องแนะนำตัวแบบเดิมๆ อีก” 

“คุณเซย์ชิโร่....”  ซากุระสึกะโมริคนปัจจุบัน อึ้ง ตะลึง พูดอะไรไม่ออก

“กิ๊วๆ เซย์จัง ขี้ตู่แบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าชอบก็ต้องมาสู่ขอตามประเพณีก่อนสิ” แฝดพี่ได้ทีแกล้งทำท่าสั่งสอน ว่าที่น้องเขย ทันที ก่อนหันกลับมาหาแฝดน้องที่เอายืนนิ่ง “เข้าใจยัง เซย์จังเค้าโมโหที่เธอไม่ยอมใช้นามสกุลเค้าแน่ะ“

“อืม...ต้องทำอย่างนั้นเหรอครับโฮคุโตะจัง งั้นผมคงผิดเองล่ะที่ ข้ามขั้น ไปหน่อย ซุบารุคุงเลยไม่ยอมรับ”

“ก็นั่นน่ะซี้...งั้นตอนนี้ก็รู้ตัวแล้วนะ เซย์จังก็ต้อง...”

“ผม.....ผม.....ผมง่วงนอนแล้ว ขอตัวนะ” เสียงตะโกนลั่นหวังใช้ความโกรธดับอายดังขึ้นก่อนก้าวยาวๆ กลับเข้าไปในห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านใน แต่ถึงอย่างนั้นก็ปกปิดใบหน้าที่แดงก่ำไปถึงหูได้ไม่มิด

ลงท้ายก็ยังไม่วายได้ยินเสียงกวนหัวใจดังไล่ตามหลังมา

“ซุบารุคุง พรุ่งนี้เรามีนัดกันนะครับ”

“ใช่ๆ เรื่องที่ขอให้ช่วยน่ะ พรุ่งนี้นะ อย่าลืมซะล่ะ”

เสียงเปิดปิดประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงวิญญาณ 2 ดวงที่หันมามองหน้า ยกมือขึ้นตบแปะกันกลางอากาศ แล้วประสานเสียงหัวเราะลั่น

“น้องชายฉัน เฮ้อ! ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังซื่อจนเซ่อเหมือนเดิม เซย์จังเสียใจรึเปล่าที่ต้องมาติดแหง็กอยู่กับคนแบบเนี้ย” สุเมรากิ โฮคุโตะที่ลงไปนั่งกองกับพื้นถามพลางยกมือขึ้นป้ายน้ำตา

“ผมไม่เคยรังเกียจซุบารุคุงที่เป็นแบบนี้หรอกครับ” ซากุระสึกะ เซย์ชิโร่ยิ้มตอบ พลางมองตรงไปยังประตูห้องพักชั้นในด้วยประกายตาที่คาดเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่

“ว่าแต่....โฮคุโตะจัง...เราแกล้งซุบารุคุงหนักไปรึเปล่า”

5/10/54

FF7 advent children: Cloud & Lightening

Author : jes

Pairing :
เซฟจัง x คลาวด์คุง (คิดว่า..คงเขียนคู่นี้ได้คู่เดียว ขออภัยแม่ยกคู่อื่นด้วย)

Disclaimer :
ตัวละครเป็นลิขสิทธิ์ของ square enix ค่ะ ฟิคนี้เกิดจากการวิวาทะกันอย่างรุนแรงของเจสกับเพื่อนในประเด็นว่า....ถ้าต้องเลือก 1 คนระหว่างคลาวด์คุง ff7 กับเจ๊ไลต์ ff13 จะเลือกใครดี (มีคนบอกว่า...โนมุระซัง(มั้ง)ให้สัมภาษณ์ว่า เจ๊ไลต์คือคลาวด์ภาคสาวงามง่ะ) ลงท้ายก็เห็นตรงกันคือ..ถ้าคลาวด์จะอัพเกรด (?) เป็นเจ๊ไลต์ ก็ไม่ควรอัพเกรดความห้าว เท่ บู๊กระจายวายวอดตามไปด้วย มันทำให้ต่อมโมเอ้มันทำงานไม่เป็นปรกติ เพราะงั้นถ้าคลาวด์คุงจะเป็นสาวงามทั้งที มันก็ต้องโมเอ้แบบคลาวด์ๆ เหมือนเดิมแหละดีแล้ว แต่...คนเขียนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า...ทำไมถึงลงเอยด้วยฟิคนี้เนี่ย

ปล. อาจจะมีคนไม่ชอบแนวเรื่องแบบนี้ แต่ก็นะคะ...เขียนไปแล้วอะ

Intro :  ความลงทุนของคลาวด์ที่ยอมแปลงร่างเป็นเจ๊ไลต์นิง เพราะอยากไปเจอเซฟิรอธในงานเลี้ยง
ปล. ตอนเขียนฟิคนี้คนเขียนกำลังเห่อเจ๊ไลต์อย่างออกนอกหน้า แต่ว่านายเอกของเราคือคลาวด์ เพราะงั้นถึงหน้าตาจะเป็นเจ๊ไลต์แต่ก็โมเอ้แบบคลาวด์
ปล.. ฟิคนี้เพื่อน (คนเดียวกับที่พูดถึงข้างบน) รีเควสต์มาว่าอยากได้แบบอ่านแล้วเบาหวานกำเริบตายไปข้างนึง แต่...โทษทีเพื่อน เขียนได้แค่นี้ เดี๋ยวยั้งไม่อยู่แล้วมันจะกลายเป็นฉาก nc ไป (อย่ามาหลอกให้เขียนซะให้ยาก)

***เหตุการณ์ต่อจาก ฟิค Secret present ค่ะ ถ้ายังไม่ได้อ่านอาจไม่เข้าใจเนื้อเรื่องบางช่วงได้

-----------------------------------------------------------------------


ค่ำคืนนี้...

ห้องโถงกลางขนาดใหญ่ของตึกชินระถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้เป็นบอลรูมสุดหรูสำหรับจัดงานเลี้ยงรับรองตามคำสั่งของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านประธาน ขณะนี้คราคร่ำไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย ทั้งนักการเมือง นักลงทุน นักธุรกิจชั้นนำมากหน้าหลายตา และบรรดาเซเลบชื่อดังที่ต่างตกปากรับคำเชิญมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง รวมไปถึงโซลเยอร์ทุกระดับคลาสที่ได้รับอนุญาตแกมบังคับให้ต้องมาร่วมงานนี้ทุกคน

จนกระทั่ง...ใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น วินาทีนั้นทุกสิ่งพลันหยุดนิ่ง ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ชั่วอึดใจ...และสายตาเกือบทุกคู่ในห้องต่างจับจ้องไปยังจุดๆ เดียวกัน

ร่างสูงดูจะชินชาเสียแล้วกับการเป็นจุดสนใจที่ไม่ว่าใครก็จับตามอง แต่สำหรับร่างเล็กบางที่เดินคู่มาด้วยแล้วมันไม่ต่างอะไรจาก ฝันร้ายดีๆ นี่เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าตัวจะเอาแต่ก้มหน้างุดเหมือนไม่อยากให้ใครสังเกตเห็น เท้าก็เริ่มก้าวช้าลงๆ จนเริ่มทิ้งระยะห่าง ท่าทางก็เหมือนอยากจะวิ่งหนีออกไปให้พ้นๆ

แต่แล้ว...ร่างทั้งร่างก็เซวูบ ไม่รู้ว่าเพราะรองเท้าส้นสูงเจ้ากรรมที่ใส่อยู่ทำพิษหรือเพราะฝ่ามือใหญ่ อุ่นจัด ที่เลื่อนมาโอบสะโพกไว้แล้วรั้งเบาๆ ให้เข้าไปใกล้ๆ กันแน่

“ยิ้มหน่อย เร็ว” เสียงทุ้มต่ำที่เจือความสนุกสนานอย่างไม่ปิดบังกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน แล้วยกมือขึ้นหยิบปอยผมสีบลอนด์ที่หลุดลุ่ยออกมาจากวิกขึ้นทัดข้างหูให้

..................................................................


เมื่อวาน....


“ไม่”

“ฉันขอปฏิเสธ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ และไม่ ยังไงก็ไม่ ได้ยินมั้ย ห๊า...”

เสียงตวาดแว้ดดังลั่นลอดออกมาจากห้องพักเล็กๆ ของพลทหารชั้นการ์ด ตามมาด้วยเสียงตึงตังดังโครมครามหนักๆ สักสองสามทีก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปรกติ

“ชู่ว์ เบาๆ หน่อย” เสียงเจ้าหนุ่มหัวเม่นที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังกระซิบกระซาบเบาๆ ที่ริมหู “เดี๋ยวการ์ดห้องอื่นเค้าก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเรื่องที่เราคุยกันหมดหรอก”

“แซค”  

คลาวด์ที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดหลวมๆ ยอมลดเสียงลง นัยน์ตาสีฟ้าสดเบิกกว้างขณะหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับ โซลเยอร์เฟิร์สคลาสเพื่อนซี้ ที่ขณะนี้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดข้างแก้ม ก่อนยกมือขึ้นอังที่หน้าผากคนตรงข้ามแล้วไล่ต่ำลงมาที่ซอกคอ

“นายป่วยไปแล้ว ใช่..นายต้องกำลังไม่สบายแน่ๆ ไม่สบายมากๆ เลยด้วย ยังไงไปหาหมอ.....”

“ฉันสบายดี” แซคตวัดเสียงขึ้นจมูกพลางทำหน้ายู่ยี่ขณะลากตัวเจ้าของห้องที่เมื่อกี้ตั้งท่าจะกระโจนหนีออกทางประตูกลับเข้ามาข้างใน วางคลาวด์หย่อนแหมะลงไว้ที่ปลายเตียงแล้วคลายอ้อมแขนออก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือเล็กบางที่ตัวเองยังรวบกำไว้แน่น

“แต่รับรองว่าพรุ่งนี้ต้องป่วยแน่..ถ้านายไม่ยอมทำตามที่ฉันขอร้อง คิดดู...หล่อเลือกได้อย่างแซค แฟร์ ต้องไปงานเลี้ยงคนเดียวโดดเดี่ยว ใครรู้เข้ามีหวังหัวเราะเยาะตาย แล้วแบบนี้ฉันจะมีหน้าไปเจอใครที่ไหนได้อีก นายก็น่าจะเข้าใจนี่นา”

คลาวด์มองคนตรงหน้าแล้วกะพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจ

...ใช่ เขาได้ยินเต็มสองหู และไม่..เขาไม่เคยคิดเลยว่าแซคจะพูดอะไรอย่างนั้นออกมา

“ถ้าแค่หาคนควงไปงานด้วยไม่ได้ ทำไมไม่ลองชวนใครสักคนล่ะ แฟนคลับนายก็ออกเยอะแยะ คนสวยๆ ที่ชื่อมิเชลนั่นก็ได้”

“ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้”

เมื่อเห็นว่าคลาวด์ยอมอยู่เฉยๆ แต่โดยดี แซคเลยได้ใจลงไปนอนแผ่หรากลางเตียงอย่างเคยเงยหน้าขึ้นมาสั่นหัวดิกพลางทำหน้าย่นหนักกว่าเก่า

“ถ้าฉันชวนมิเชล รับรองว่า..นาตาชา เฮเลน่า อาเรียเน่ เมลิสซา แล้วก็มาริลีน ต้องไม่พอใจแน่ ดีไม่ดีทุกคนยัวะจัดพาลขอเลิกคบกันหมด เหลือไว้แต่ยัยมิเชลคนเดียวก็แย่สิ แล้วถ้ายัยนั่นเกิดบ้าจี้ลุกขึ้นมาทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของฉันอีกล่ะ แค่คิดก็สยองแล้ว”   

“เอ่อ...ถ้างั้น...ก็ชวนไปให้หมดทุกคนเลยสิ เค้าไม่ได้บอกให้พาไปได้แค่คนเดียวนี่นา”

“นั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน” แซคยักไหล่ “ฉันขี้เกียจมานั่งคอยดูแลเทคแคร์ทีละหลายๆ คน ขี้เกียจฟังเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญ ที่สำคัญขี้เกียจเป็นกรรมการห้ามศึกถ้าเกิดการทะเลาะ ตบตีกันขึ้นมา”

“ถ้างั้น....ถ้างั้น....”

คนคิดหาวิธีเอาตัวรอดเริ่มหัวหมุน ชักมึนกับสารพัดสารพันข้ออ้างข้างๆ คูๆ ที่อีกฝ่ายแถไถไถลเถลือกไปได้เรื่อยๆ


...ไม่อยากไปคนเดียว ไปสองคนก็ไม่เอา ยิ่งไปหลายๆ คนยิ่งไม่ได้ใหญ่


...เฮ้อ!


“แล้วนายจะเอายังไงล่ะแซค”

คนที่คิดสะระตะวนไปเวียนมาหลายรอบจนยอมรับว่าจนปัญญาแล้วถามขึ้น

“ฉันถึงมาขอร้องนายไง” พ่อเม่นที่เห็นว่าสถานการณ์ชักเริ่มเข้าข้าง รีบดีดตัวผึงเดียวลุกขึ้นนั่งแล้วโถมเข้ามากอดคอคลาวด์ไว้ “นายจะใจดำไม่ช่วยฉันจริงๆ เหรอ”

“ก็นายจะจับฉันใส่กระโปรงนี่นา” คลาวด์ทำเสียงเหมือนลูกโจโกโบะแสนน่าสงสารที่ใกล้จะขาดใจตายเต็มทีเพราะถูกไล่ต้อน “ฉันเป็นผู้ชาย แซค ทำอะไรแบบนั้นมันน่าอายจะตายไป”

“นายไม่พูด ฉันไม่พูด แล้วใครจะรู้ น่านะ...นะ..” เมื่อรู้ว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล มันก็ต้องลองใช้ไม้อ่อนดูบ้าง

“ทีแอบไปสวีตหวานกับเซฟิรอธสองต่อสอง ยังไปได้เลย แล้วทำไมจะไปงานเลี้ยงกับฉันไม่ได้”

“แซค มันไม่จริงเลยนะ!

คราวนี้เสียงลูกโจโกโบะเปลี่ยนมาเป็นมีโมโหกรุ่นๆ แต่ใบหน้ากลับขึ้นสีระเรื่อ

“วันนั้นเซฟิรอธเลี้ยงข้าวเย็นฉัน แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบก็เท่านั้น”

เรื่องราวของ สุดยอดโซลเยอร์ในตำนานผู้ไม่เคยมีข่าวคราวใดๆ กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนแอบควงสาวน้อยหน้าใสไปกินข้าวเย็นด้วยกันในวันวาเลนไทน์ กลายเป็นข่าวลือกระหึ่มให้ได้ซุบซิบกันทั่วมิดการ์ที่กว่าจะซาไปได้ต้องใช้เวลาร่วม 2 เดือน แต่ก่อนหน้านั้นก็เล่นเอาสาวๆ ค่อนเมืองออกมารวมกลุ่มตามล่าศัตรูหัวใจกันให้ควั่ก พอกันกับหนุ่มๆ อีกนับไม่ถ้วนที่ยอมทุ่มสุดตัวแลกกับการได้เห็นหน้าค่าตาคนที่ทำให้เซฟิรอธ ยอมสยบสักแวบ  

...เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไอคนที่ไปเห็นเข้าตอนนั้นตาลาย เมา หรืออยากหาเหาใส่หัวตัวเองกันแน่ถึงมองเด็กผู้ชายให้กลายเป็นหญิงสาวไปได้

“นั่นไงล่ะ” แซคยิ้มระรื่น “แค่นายใส่ชุดธรรมดา คนอื่นเค้าก็ดูไม่ออกแล้ว ถ้าแต่งแบบฟูลคอสใครที่ไหนจะจับได้ ....อีกอย่างนะ ไม่อยากเจอเซฟิรอธแล้วเหรอ คนดังอย่างหมอนั่นต่อให้ไม่ชอบงานเลี้ยงแค่ไหนยังไงก็ต้องได้รับคำสั่งให้ไปร่วมงานอยู่แล้วล่ะ ทีนี้นายจะได้นั่งดูยืนดูหมอนั่นให้เต็มอิ่มไปเลย ดีออก”

เจ้าเม่นจอมเจ้าเล่ห์แอบซ่อนสีหน้าปิศาจร้ายไว้ใต้หน้ากากเทวดาแนบเนียน มองดูโจโคโบะตัวน้อยที่ออกอาการตั้งท่าจะกระโดดลงหลุมดักที่ขุดล่อไว้โดยใช้เซฟิรอธเป็นเหยื่อล่อชั้นเยี่ยม

พอหมดเรื่องช็อกโกแลต...ทั้งคลาวด์และเซฟิรอธก็ไม่มีเหตุอะไรให้ต้องเกี่ยวข้องกันอีก โลกของทั้งสองคนเหมือนแยกขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อการ์ดอย่างคลาวด์ต้องอยู่ในสนามฝึก ส่วนโซลเยอร์อย่างเซฟิรอธก็ดูมีธุระไม่ก็ภารกิจวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุดแล้วคลาวด์ก็ทำได้แค่เหลือบมองอีกฝ่ายยามที่เซฟิรอธเดินผ่านสนามฝึกไม่ก็กำลังขึ้นรถเพื่อไปปฏิบัติภารกิจเท่านั้น

...ที่สำคัญ งานเลี้ยงคราวนี้พวกการ์ดไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม พวกโซลเยอร์ก็ไม่น่ามีใครรู้จักเขา

คลาวด์เงยหน้าขึ้นช้าๆ หลังจากเงียบไปนาน นัยน์ตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความลังเลและเป็นกังวล

“นายแน่ใจนะแซค ว่ามันจะดีจริงๆ จะไม่มีใครจับได้แน่ๆ นะ”

“รับรองเชื่อขนมกินได้เลย” แซคที่ตอนนี้แทบอยากตะโกนร้องให้ก้องโลกด้วยความดีใจตบไหล่คลาวด์ป้าบใหญ่ กอดเด็กหนุ่มแรงๆ แถมอีกทีแล้วรีบกระโดดตัวลอยแล่นถลาออกมานอกห้อง “คืนนี้หลับให้สบาย พรุ่งนี้ฉันจะเอาชุดกับวิกผมมาให้ บาย...”

แค่ประตูห้องปิดลง รอยยิ้มสมหวังของพ่อหนุ่มผมเม่นที่เมื่อกี้แทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ก็ปรากฏขึ้นเต็มหน้าชนิดที่ว่า..ปากแทบจะฉีกถึงรูหู

...ทีนี้ล่ะ

...จะได้รู้กันไปว่า “คู่ควงของแฟร์” มันจะแพ้ “สาวน้อยของเซฟิรอธ”

...คอยดูสิ!

...........................................................


...คิดผิด

คำๆ เดียวที่ดังขึ้นซ้ำๆ ในสมองของแซค แฟร์ ที่อึ้งตะลึงไปพักใหญ่แถมพูดอะไรแทบไม่ออก เมื่อร่างเล็กที่เขาต้องใช้ความพยายามสุดสามารถทั้งขู่ทั้งปลอบ ทั้งผลักทั้งดัน ทั้งรุนหลังให้ยอมเข้าไปเปลี่ยนชุดหลังฉากกั้นเดินกลับออกมา

ทั้งๆ ที่แน่ใจอยู่แล้วว่า...หน้าตาแบบนี้ ตัวก็เล็กขนาดนี้ ถ้าใส่วิกผมสักนิด แต่งหน้าสักหน่อย แล้วก็ใส่ชุดราตรียาวเท่านั้น คลาวด์ก็คงคลับคล้ายคลับคลาผู้หญิงจริงๆ และตบตาคนอื่นๆ ได้ไม่ยาก

...แต่ ให้ตายเถอะ

...ไม่นึกเลยว่ามันจะเหมาะอย่างนี้

สาวน้อยร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า ตัวที่ว่าเล็กอยู่แล้วยิ่งดูบอบบางมากขึ้นเมื่ออยู่ในชุดราตรีผ้าพลิ้วยาวกรอมเท้าสีครีมสว่าง เส้นผมสีแดงอมน้ำตาลยาวหยักเป็นลอนเล็กๆ ไล่ระดับระต้นคอไปเกือบถึงกลางหลังไม่มีทางดูออกว่าเป็นวิก ส่วนใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ก็เน้นนัยน์ตาสีฟ้าสดและริมฝีปากบางสีระเรื่อนั่นให้เด่นสะดุดตา  

ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็น สาวน้อยแสนหวานที่ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็ต้องกลืนน้ำลายเอื้อก

“แซค อย่าทำให้ฉันใจเสียสิ” แม่สาวน้อยนัยน์ตาสีฟ้าทำหน้าเหยเก “มันดูแย่มากเลยใช่มั้ย”

“ม...มะ....ไม่....ไม่.....ไม่เลย” นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตล่ะมั้งที่คนอย่างแซค แฟร์ พูดจาติดๆ ขัดๆ “แจ่มมากเพื่อน แบบนี้รับรองว่าไม่มีใครจำได้ชัวร์”

“แต่ฉันว่าพอเถอะนะ เราล้มเลิกความคิดนี้ดีกว่า ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาล่ะก็ทั้งนายทั้งฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน” ท่าทางคลาวด์บอกชัดว่าเจ้าตัวหมดความมั่นใจชนิดที่ต่อให้เอาร้อยเซฟิรอธมาล่อก็ไร้ผล

...ไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่า ตอนนี้แรงดึงดูดที่ตัวเองมีต่อคนรอบข้าง..มันมากขนาดไหน 

“ไม่มีเวลาแล้วล่ะ อีกครึ่งชั่วโมงงานก็เริ่มแล้ว” แซคในชุดทักสิโดหล่อเนี้ยบรีบกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนส่งยิ้มปลอบใจบางๆ มาให้ ตามด้วยการยื่นแขนออกมาให้อีกฝ่ายเกาะแล้วออกเดินนำ “ไม่เป็นไรน่า นายดูดีออก ถ้าไม่สบายใจ..เวลาอยู่ในงานก็พยายามอยู่ใกล้ๆ ฉันไว้แล้วกัน” 

หัวใจเต้นระรัวราวจะหลุดออกมานอกอกเมื่อมือเล็กเอื้อมมาคล้องแขนไว้ พ่อหนุ่มผมเม่นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกเพื่อปรับสติสตังที่เตลิดเปิดเปิงเมื่อกี้ให้เข้าที่เข้าทาง

... คู่ควงของแฟร์ พร้อมแล้ว

……………………………………………………………….


“เฮ้! แซค ทางนี้”

ระหว่างทางเดินไปห้องจัดเลี้ยง เสียงเรียกชื่อทักทายก็ดังขึ้นจากระเบียงชั้นบน ต้นเสียงคือโซลเยอร์เซคั่นคลาสสองสามคนที่กำลังเดินลงบันไดตรงมาหา

“ไม่ต้องรีบไปหรอกน่า เวลาเปิดงานเลื่อนออกไปอีกชั่วโมง เพราะรูฟัสเจ้าของงานเกิดติดธุระกระทันหัน” หนึ่งในสามคนตะโกนบอก “ตอนนี้ในงานมีแต่พวกนักการเมืองกับนักลงทุนทั้งนั้น น่าเบื่อออก ไปนั่งดื่มที่มุมโน้นด้วยกันก่อนดีกว่า”

ที่บาร์เครื่องดื่มถัดออกไปไม่ไกล บรรดาโซลเยอร์รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ต่างยืนรวมตัวคุยกันอย่างออกรส เคียงข้างด้วยสาวๆ ที่แต่ละคนชวนมาร่วมงาน

แต่ก่อนที่โซลเยอร์ทั้งสามคนจะเดินมาถึง คลาวด์ก็ปล่อยมือออกจากแขนแข็งแรงที่ยึดไว้

“แซค ฉันขอรออยู่แถวๆ นี้ดีกว่า”

“ทำไมล่ะ” แซคทำหน้าประหลาดใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นกังวลเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย “เป็นอะไรรึเปล่า หรือว่าไม่สบาย”

“เปล่า” สาวน้อยแสนหวานพยายามปั้นยิ้มเต็มที่ “อยู่ในสภาพนี้ ฉันไม่รู้จะวางตัวกับเพื่อนๆ ของนายยังไงนี่นา ถ้างานเริ่มแล้วก็ว่าไปอย่าง..แค่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ก็ยิ้มกับพยักหน้าก็พอ”

“งั้นก็ได้” พ่อเม่นยอมตามใจ แม้จะรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่จะได้เปิดตัวสาวสวยคนใหม่ให้พรรคพวกรู้จักช้าออกไปอีกนิด “เดี๋ยวเจอกันนะ”

 ..................................................


“เฮ้อ!

คลาวด์ถอนใจยาวพลางนั่งลงบนราวระเบียงด้านนอกอาคาร ทิ้งเสียงหัวเราะพูดคุยที่ประสมปนเปไปกับโน้ตดนตรีที่บรรเลงคลอเบาๆ ไว้ข้างหลังแล้วหลับตาลง

...เหมือนตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทาง

...การ์ดที่แอบเข้ามาในกลุ่มโซลเยอร์ แถมยังแต่งตัวเป็นผู้หญิง

...ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงยอมทำเรื่องที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ แสนจะงี่เง่าสิ้นดี แบบนี้ลงไปได้

...เซฟิรอธจะมางานมั้ยนะ แต่ถึงจะมา..คลาวด์ก็คงไม่มีหน้าเข้าไปทักทาย ขอแค่ได้เห็นฮีโร่ของเขาจากที่ไกลๆ ก็พอใจแล้ว


ช่วยไม่ได้..เมื่อความเครียดและความกังกลที่สะสมมาตั้งแต่วันวานรวมเข้ากับสภาพที่รับตัวเองไม่ค่อยได้ในตอนนี้ทำให้เหมือนมีอะไรอัดแน่นอยู่ในอก สิ่งนั้นค่อยๆ ขยายตัวออกช้าๆ ก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เรียกน้ำตาให้ไหลซึม

วินาทีนั้นนิ้วอุ่นๆ ก็แตะลงที่หลังมือ

“ขอโทษนะ เธอหน้าซีดมากเลย เป็นอะไรรึเปล่า”  

คลาวด์ลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งแรกที่เห็นคือเส้นผมสีเงินยาวที่ปลิวล้อกับสายลมที่พัดมาเบาๆ เล่นเอาต้องส่ายหน้าให้กับความไม่ได้เรื่องของตัวเอง

...นี่ เขาอยากเจอเซฟิรอธมากถึงขั้นตาฝาด

แต่...

ไม่ว่าจะกะพริบตาซ้ำๆ สักกี่หน ภาพที่เห็นก็ไม่เลือนหาย หนำซ้ำจะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นร่างสูงโปร่งของนักรบผมเงินที่ยืนอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มบางเบาฉาบอยู่บนริมฝีปากได้รูป มือข้างหนึ่งจับมือเขาไว้

...เซฟิรอธ ?

...จริงอยู่ เขาอยากเจอเซฟิรอธ จะในสนามฝึกหรือปฏิบัติการอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ในสภาพนี้

นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ลมหายใจสะดุดเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ก่อนจะรีบขยับถอยจนแทบหงายหลังตกจากราวระเบียงที่นั่งไว้แค่หมิ่นๆ ดีที่ได้มือใหญ่ช่วยดึงรั้งไว้ไม่อย่างนั้นคงร่วงลงไปแล้ว

“ไม่เป็นไรนะ” เมื่อช่วยพยุงให้อีกฝ่ายนั่งได้มั่นคงแล้ว เซฟิรอธก็ลดมือลงพลางถามย้ำอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” คลาวด์ตอบสั้นๆ พลางก้มหน้างุด นึกภาวนาในใจขออย่าให้เซฟิรอธผิดสังเกตอะไรเลย “งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว รีบเข้าไปข้างในเถอะ”

แต่แล้วโชคชะตากลับไม่เป็นใจ เมื่อเซฟิรอธยิ้มบางๆ ให้แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พลางเงยหน้ามองแสงสีส้มอมทองจางๆ ที่กำลังลับขอบฟ้าเหนือสนามฝึกด้วยท่าทางสบายๆ “ฉันไม่ชอบความวุ่นวาย แล้วก็ไม่ค่อยมีความอดทนเท่าไหร่ ไม่ต้องรีบเข้าไปนักก็ได้”

คลาวด์พยักหน้ารับ แต่เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยได้แต่นั่งเงียบ สักพักเซฟิรอธก็ลุกขึ้นเดินออกไป ก่อนจะกลับมาพร้อมแก้วไวน์และ ช็อกโกแลตเย็น

“ขอบคุณ” คลาวด์ยื่นมือออกไปรับแก้วช็อกโกแลตมาจิบ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเพราะสะกิดใจอะไรบางอย่าง แต่ก็นึกไม่ออกว่าคืออะไร

ทั้งสองนั่งจิบเครื่องดื่มของตัวเองเงียบๆ จนกระทั่งดวงดาวบนท้องฟ้าเริ่มทอประกายระยิบระยับ ความมืดแผ่ขยายปกคลุมไปทั่ว

“ยังไม่เข้าไปข้างในอีกเหรอ” คลาวด์ถามขึ้นก่อนด้วยความสงสัยว่าทำไมป่านนี้ คนดัง หมายเลขหนึ่งที่มีแต่คนต้องการพบถึงเอาแต่นั่งเฉยอยู่ข้างนอก

“ทนอึดอัดไม่ไหวแล้วสิ” เซฟิรอธยิ้มขำก่อนจะลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกมา “เข้าไปด้วยกันมั้ย"

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันค่อยเข้าไปทีหลังก็ได้...” ร่างเล็กเว้นจังหวะไปนิดก่อนจะแข็งใจพูดคำสุดท้ายออกมา “...ค่ะ”

ร่างสูงหัวเราะพรืดพลางยื่นปลายนิ้วไปม้วนเข้ากับปอยผมของคนตรงหน้าแล้วออกแรงกระตุกแบบทีเล่นทีจริง

“นอกจากจะเปลี่ยนแนวการแต่งตัวกับใส่วิกแล้ว เธอยังหัดพูดคะขาด้วยเหรอ”

...ประโยคที่ได้ยิน ไม่มีทางจะแปลความหมายเป็นอื่นไปได้ นอกจาก...เซฟิรอธรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร

...มิน่า ถึงไม่ถามชื่อหรือแม้แต่จะแนะนำตัวเอง

...แล้วยัง ช็อกโกแลตเย็นแก้วนั้นอีก

วินาทีนั้น...คลาวด์ได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรแทบไม่ออก สิ่งที่อยากทำที่สุดคือรีบมุดดินหนีให้พ้นอายไปซะเดี๋ยวนั้น

“ไม่เป็นไร ใจเย็นไว้” เซฟิรอธหัวเราะเบาๆ พลางลูบหลังลูบไหล่คนที่นั่งตาโตตัวแข็งทื่อไปมาราวกับจะปลอบใจเด็กน้อยที่กำลังขวัญเสีย

“คะ...คือ...คือ...” คลาวด์หน้าซีดเผือด ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่อยากพบมาตลอด เซฟิรอธคงคิดว่าเขาสมองกลับหรือไม่ก็เพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ทำตัวงี่เง่าแบบนี้”

“ช่างเถอะ” เซฟิรอธยังยิ้มไม่เลิก เหมือนเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสนุก “ถ้ารายงานว่า ฉันรู้ว่ามีการ์ดปลอมตัวเข้ามาร่วมงานเลี้ยงจากการจับมืออีกฝ่าย คงไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่”

“ขอบคุณครับ” คลาวด์ค่อยยิ้มออกมาได้นิดนึง แต่แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ เลือนหายเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

“แต่ฉันคงต้องลงโทษเธอ คลาวด์ สไตรฟ์ เอาล่ะ...”

นักรบผู้ยิ่งใหญ่ยืนขึ้นแล้วยื่นมือออกมาข้างหน้าอีกครั้งพลางค้อมตัวนิดๆ

“ถ้ายอมเข้าไปข้างในงานเลี้ยงด้วยกันล่ะก็...จะยอมยกโทษให้ก็ได้นะ มายเลดี้

....................................................................


เซฟิรอธเกลียดงานเลี้ยง โดยเฉพาะงานเลี้ยงไร้สาระที่เสียเวลาไปกับการกิน คุย ฟังเพลง และที่แย่ที่สุดคือการบังคับให้ต้องพาคนอื่นมาด้วย แม้เจ้าตัวตั้งใจว่าจะพยายามปฏิบัติภารกิจช่วงบ่ายให้ช้าที่สุดนานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อถ่วงเวลาก็ตาม แต่การที่ต้องใช้เวลามากขนาดนั้นกับภารกิจแสนธรรมดาก็ยิ่งทำให้โซลเยอร์ในตำนานหงุดหงิดได้ยิ่งกว่า ลงท้ายก็กลับมาถึงชินระก่อนเวลาเปิดงานเกือบครึ่งชั่วโมงจนได้

ไม่มีการเตรียมตัว ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า เวลาที่เหลือเล็กน้อยน่าจะพอให้เขาหาที่เงียบๆ เพื่อสงบจิตสงบใจ สงบสติอารมณ์สักพักก่อนจะเข้าไปในบริเวณงานตามที่ได้รับคำสั่ง แต่เมื่อเดินลัดตัดทางเดินออกมาแถวสนามฝึก เซฟิรอธก็สะดุดตาเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่บนราวระเบียงเข้าอย่างจัง

ผู้หญิง?

คงเป็นคู่ควงที่ใครสักคนชวนมา แต่ใบหน้าเรียวที่หลับตานิ่งกับมือเล็กได้รูปที่ยึดราวระเบียงไว้หลวมๆ กลับดึงดูดสายตาอย่างน่าประหลาด คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จัก หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยเห็น

นัยน์ตาสีเขียวกะพริบปริบ คิ้วขมวดมุ่น เมื่อภาพหนุ่มน้อยตัวเล็กบาง ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าปรากฏขึ้นซ้อนทับร่างเด็กสาวตรงหน้าได้สนิท

...ไม่น่าเป็นไปได้

รู้ตัวอีกที...ขาก็ขยับเดินเข้าไปใกล้ ปลายนิ้วก็แตะลงที่หลังมือของอีกฝ่าย

“ขอโทษนะ เธอหน้าซีดมากเลย เป็นอะไรรึเปล่า” 

จากท่าทางตะลึงงันทำอะไรไม่ถูกของคนตรงหน้าและนัยน์ตาสีฟ้าสดที่เบิกกว้าง ยิ่งช่วยยืนยันชัดเจนว่าเขาคิดไม่ผิด

...ถึงเสื้อผ้า ทรงผมจะเปลี่ยนไป แต่แววตา สีหน้าท่าทางใช่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ 

เซฟิรอธส่งยิ้มให้แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ชักสนุกกับการเฝ้ามองปฏิกิริยาของสาวสวยตรงหน้าว่าจะทำยังไงต่อไปจนลืมความหงุดหงิดจากงานเลี้ยงไปหมด

เขาพอเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรแซคถึงได้ยึดติดกับหนุ่มน้อยแสนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษคนนี้นัก ถ้าไม่เพราะความอ่อนเยาว์ อ่อนต่อโลก ที่เจ้าตัวแสดงออกมาอย่างซื่อตรง จนไม่ว่าใครที่ได้สัมผัสย่อมไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดอันไร้เดียงสานั่นจนต้องยื่นมือเข้าไปปกป้อง..ไม่ว่าจะด้วยความปรารถนาดีหรือปรารถนาจะครอบครองเป็นเจ้าของก็ตาม

...คลาวด์เองก็คงไม่รู้สึกตัว ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเอง นั่นแหละคือความ พิเศษ

....แล้ว

....ถ้าเขายื่นมือออกไปบ้างล่ะ

นักรบผู้ยิ่งใหญ่ยืนขึ้นแล้วยื่นมือออกมาข้างหน้าพลางค้อมตัวนิดๆ

“ถ้ายอมเข้าไปข้างในงานเลี้ยงด้วยกันล่ะก็...จะยอมยกโทษให้ก็ได้นะ มายเลดี้

แม้ท่าทางจะบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่คลาวด์ก็ยอมจับมือเขาไว้ แล้วลุกขึ้นเดินตามมาแต่โดยดี เรียกรอยยิ้มพอใจให้ปรากฏขึ้นขณะออกแรงกระชับมือเล็กที่กุมไว้

...ถึงตอนนี้ แม้เซฟิรอธจะยังไม่ชอบใจที่ถูกบังคับให้มางานเลี้ยง แต่ก็...รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยเมื่อเข้าใจแล้วว่าการพาใครอีกคนมาด้วยมันดียังไง

..........................................................


งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นหลังจากรูฟัสที่เป็นเจ้าของงานมาถึง แต่กว่าที่เซฟิรอธและคลาวด์จะเข้ามาในบริเวณงาน แขกเหรื่อส่วนมากก็เข้าไปในบอลรูมกันหมดแล้ว ตามทางเดินด้านนอกจึงเหลือคนไม่มาก

ร่างสูงเดินช้าๆ อย่างสบายอารมณ์ เคียงข้างด้วยสาวน้อยที่คงเดินไม่ค่อยถนัดเพราะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการทรงตัวให้ยืนและเดินต่อไปให้ได้โดยไม่หกล้มเพราะสะดุดชายกระโปรงหรือไม่ก็พลาดทำรองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่พลิกซะก่อนจนเขาอดสงสารไม่ได้

ร่างเล็กสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงท่อนแขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวแล้วยกตัวลอยขึ้นจากพื้น

“อะไร..ไม่ ไม่ต้อง” คนพูดแทบลิ้นพันกันด้วยความตกใจ พยายามสะบัดตัวออก ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงต่อต้านขึ้นมาเฉย ๆ

“เดินธรรมดายังแทบไม่ไหว” แล้วจะเดินขึ้นบันไดได้ยังไง จับไหล่ฉันไว้แล้วอยู่นิ่งๆ” เซฟิรอธเอ็ดเสียงหนักๆ พลางอุ้มร่างเล็กๆ ขึ้นบันไดไปอย่างไม่หนักเรี่ยวกินแรงเท่าไหร่
ไม่สนใจสายตาที่จ้องมาจนแทบทะลุออกจากเบ้าของคนแถวๆ นั้น

“ขอบคุณ” คลาวด์พึมพำอ้อมแอ้มเมื่อได้กลับมายืนบนพื้น ก่อนจะเริ่มกระสับกระส่ายหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้งเมื่อเห็นประตูห้องจัดเลี้ยงอยู่ตรงหน้า ต่างกับเซฟิรอธที่ชินชาเสียแล้วกับการเป็นจุดสนใจ ร่างสูงอ้าแขนโอบเอาร่างเล็กที่เริ่มเดินทิ้งระยะห่างพลางก้มหน้างุดให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ

“ยิ้มหน่อย เร็ว” เสียงทุ้มต่ำที่เจือความสนุกสนานอย่างไม่ปิดบังกระซิบเบาๆ แค่ได้ยินกันสองคน แล้วยกมือขึ้นหยิบปอยผมสีบลอนด์ที่หลุดลุ่ยออกมาจากวิกขึ้นทัดข้างหูให้

..................................................


เมื่อเข้ามาในบอลรูม เซฟิรอธไม่ได้พาคลาวด์ไปที่โต๊ะสำหรับโซลเยอร์เฟิร์สคลาส แต่กลับเดินตัดออกมาที่ฟลอร์เต้นรำ ที่ที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดอยากจะเฉียดกรายมาเลยสักนิด

ในฟลอร์ หนุ่มสาวหลายคู่ต่างสนุกสนานกับการเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะดนตรีรัวเร็วเร่งเร้าจนแทบไม่ได้สนใจคนอื่นรอบตัว แต่พอเพลงจบลง หลายคนที่ทยอยออกจากฟลอร์ก็สังเกตเห็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ประจำค่ำคืนนี้

...สาวน้อยของเซฟิรอธตัวเป็นๆ เจ้าของข่าวลือที่เพิ่งซาไปหมาดๆ รับประกันความเข้าใจถูกต้องโดยสุดยอดโซลเยอร์ผมเงินที่ยืนโอบอยู่ข้างๆ


...แย่แล้ว

ชั่วขณะที่คิดอย่างนั้น ก็รู้สึกถึงวงแขนแข็งแกร่งที่โอบประคองตัวเองไว้อย่างนุ่มนวลแล้วพาเดินเข้าไปกลางฟลอร์ คลาวด์เงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาคู่คมที่กำลังจับจ้องตนอยู่
ผมเต้นไม่เป็น คลาวด์สารภาพตรงไปตรงมาพลางส่ายหน้า “จริงๆ นะ คุณจะขายหน้าคนอื่นเปล่าๆ”

เซฟิรอธยังยิ้มอยู่เช่นเดิม ยกแขนโอบรัดรอบสะโพก อีกมือโอบแผ่นหลังของคนที่พยายามขืนตัวหนีไว้

ไม่เป็นไร ฉันจะนำให้”

“แต่...”

“ไม่มีแต่...พร้อมนะ เลดี้”

หลังจากเงียบเสียงไปชั่วครู่หนึ่ง นักดนตรีก็เริ่มบรรเลงเพลงช้า...

เซฟิรอธจับมือเล็กวางบนบ่าของตนแล้วเริ่มนำในท่วงท่าคล้ายโอบกอดกัน หลังจากรอให้คลาวด์เริ่มชินสักพักก็กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้ววางคางกดลงบนบริเวณขมับของอีกฝ่าย ค่อยๆ ละเลียดอย่างช้าๆ ดื่มด่ำความหอมหวาน นุ่มนวล และอบอุ่นของร่างในอ้อมแขนเต็มที่

 “เอ่อ..แบบนี้เดินไม่ได้” เสียงท้วงเบาๆ ดังขึ้นพลางขยับตัวด้วยความอึดอัด แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองนอกจากสีหน้าที่แสดงความพอใจอย่างยิ่ง ก็ได้แต่ปล่อยร่างกายให้ขยับเคลื่อนไหวไปตามการนำของอีกฝ่าย

“ทำไมจู่ๆ ถึงลุกขึ้นมาแต่งตัวแบบนี้” คำถามดังขึ้นแผ่วๆ พลางหมุนตัวไปตามจังหวะเพลง

“แซคเป็นต้นคิด เพราะหาคนมาด้วยไม่ได้ แล้วก็...” ข้อความสุดท้ายติดอยู่ในลำคอ คลาวด์นิ่งไปชั่วอึดใจ มองเส้นผมสีเงินยาวสลวยที่คลี่คลุมร่างของทั้งคู่ไว้ ก่อนจะยอมพูดต่อ “ผมอยากเจอคุณ”

“งั้นเหรอ” ร่างสูงหัวเราะเบาๆ พลางกระฃับร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิด

...งานนี้เขาคงต้องขอบคุณแซค

“ถ้าสวนกันตามทางเดินก็ทักกันได้นี่ หรือว่างๆ จะออกไปดื่มกาแฟข้างนอกบ้างก็ได้” 

“ก็คุณยุ่งอยู่ตลอดเวลา” คลาวด์ถอนใจเฮือก “ไม่รู้ว่าถ้ารบกวนแล้วจะโกรธรึเปล่า เลยคิดว่าแค่ได้มองเห็นบ้างก็ดีใจแล้ว”

สำหรับคนตอบนั่นเป็นแค่การตอบคำถามธรรมดา ไม่รู้เลยว่ามันดูเหมือนการออดอ้อนคนฟังขนาดไหน

เซฟิรอธยิ้มมากขึ้น

“ถ้ามีคำสั่งให้พา ผู้ติดตาม ไปด้วย เราอาจจะออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอกด้วยกันได้”

“จริงๆ นะ” คลาวด์เงยหน้าขึ้นรวดเร็วด้วยความดีใจสุดๆ จนไม่ทันรู้สึกว่าจังหวะที่ใบหน้าแหงนเงยขึ้นกระทันหันทำให้ปลายคางที่วางเกยอยู่ก้มต่ำลงมาอย่างไม่ทันระวัง ริมฝีปากบางเลยเฉียดเข้ากับผิวแก้มละเอียดแผ่วเบา

“ฉันไม่เคยผิดคำพูด” เซฟิรอธนิ่งไปชั่วอึดใจ เลื่อนมือขึ้นแตะท้ายทอยอีกฝ่าย บังคับให้ร่างเล็กวางศีรษะลงแนบสนิทกับไหล่ พร้อมกับพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปรกติสุดความสามารถ “แต่...มีข้อแม้...ถ้าเธอตกลงจะไปกับฉัน ครั้งไหนที่ไปได้ก็ต้องไปทุกครั้ง จะเลือกไม่ได้ 

“ตกลงครับ” คลาวด์ตอบเสียงอู้อี้ ความฝันที่จะได้แสดงฝีมือนอกสนามฝึกเป็นเหตุให้ไม่ทันระวังตัวอะไรทั้งนั้น และเพราะอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายด้วยเลยมองไม่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายที่ถ้าได้เห็นเข้าก็อาจเปลี่ยนใจ

“อีกอย่างนึง...บอกไว้เธอจะได้ไม่กังวล” ดวงตาคมสวยแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน “อยู่ๆ บรรดาแฟนคลับของแซคก็มาปรากฏตัวที่นี่พร้อมหน้า ตอนนี้แซคคงหัวหมุนวุ่นวายพิลึก แล้วอีกเดี๋ยวข่าวจากคนข้างนอกที่เห็นเราก็คงจะปลิวมาถึงที่นี่ ไม่ก็พวกบนฟลอร์เมื่อกี้นี้ปากโป้ง จะดีกว่าถ้าเธอกลับออกไปก่อนที่จะถูกพวกคนอยากรู้อยากเห็นรุมล้อม”

.........................................................................


คลาวด์ก้มลงหยิบจดหมายที่สอดเข้ามาทางช่องว่างระหว่างพื้นห้องกับประตูด้วยความงุนงง เมื่อวานตอนกลับมาหลังจากติดตามเซฟิรอธไปภารกิจข้างนอกก็ไม่เห็นมีอะไรตกอยู่ แต่เมื่อไล่สายตาไปตามอักษรประหลาดที่เขียนสลับตำแหน่งไปมาเหมือนเด็กเขียนหนังสือไม่เป็นก็ต้องยิ้มกว้าง

...รหัสอักษรที่เขาใช้เขียนบนแผ่นฟอยล์ห่อช็อกโกแลต

...ในชินระมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจมัน

กระดาษแผ่นน้อยในซองเขียนแค่สั้นๆ ใจความว่า...

“วันเสาร์หน้า 6 โมงเย็น พบกันที่เดิม ของที่ต้องใช้จะส่งมาให้ทีหลัง...

ปล. ถ้าแซคมาถาม ให้บอกไปว่าเธอจะไปกับฉัน”

ของที่ต้องใช้? คลาวด์ขมวดคิ้วสงสัย แต่แล้วก็เลิกสนใจ มันคงเป็นอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่ต้องใช้เวลาปฏิบัติภารกิจคราวหน้าละมัง

...คราวนี้แซคก็ไปด้วย

...ชักอยากให้วันเสาร์หน้ามาถึงเร็วๆแล้วสิ...


หารู้ไม่ว่า...

ในห้องทำงานของสุดยอดเฟิร์สคลาสแห่งชินระ บนโต๊ะตัวเล็กที่เคยวางแผ่นฟอยล์ห่อช็อกโกแลตมีบัตรเชิญถึงโซลเยอร์เฟิร์สคลาสทุกคน

...ใกล้ๆ กันมีชุดราตรีเข้ารูปสีดำสนิท วิกผมสีบลอนด์ยาวดัดเป็นลอนเล็กๆ และอุปกรณ์เมคอัพครบชุดวางอยู่คู่กัน


For เจ๊ไลต์นิง

Jes

2 /10 /54


..................................................


เอ่อ...สารภาพว่าจบไม่ค่อยจะลงค่ะ เลยเอาสีข้างเข้าถูจนถลอกปอกเปือกออกมาเป็นแบบนี้ อีกอย่าง..ขอโทษแม่ยกพ่อเม่นด้วยที่หักหลังอย่างแรง ไว้ฟิคหน้าจะยื่นบท (ผู้ช่วย) พระเอกแสนดีให้เลย