Chapter 2: ‘สุเมรากิ’ หรือ ‘ซากุระสึกะ’
อาทิตย์ที่แล้ว....
บ้านใหญ่ตระกูลสุเมรากิ เกียวโต
“ขอโทษที่ต้องให้รอนาน คุยกันเสร็จแล้วล่ะ”
เสียงเบาแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าทว่ายังคงความเข้มแข็งหนักแน่นของผู้นำตระกูลสุเมรากิ รุ่นที่ 12 ดังขึ้นขณะเลื่อนเก้าอี้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเข้ามาในห้องรับรองขนาดใหญ่
ทุกสิ่งจมอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงริบหรี่จากตะเกียงน้ำมันหอมดวงเล็กๆ ที่มุมห้อง แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้หัวใจของหญิงชราวูบไหวไปด้วยความเจ็บร้าว
...แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องจับต้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของ ‘หลานชาย’ ที่นั่งพับขาหันข้างให้ประตู ข้างหน้ามีชุดทำพิธีของ ‘ผู้นำตระกูล’ แบบเต็มยศที่เจ้าตัวเคยสวมใส่วางไว้
...‘หลานชาย’ ที่ ‘ย่า’ คนนี้ไม่เคยปกป้องได้แม้สักครั้ง
ร่างเล็กๆ ผอมบางอยู่ในชุดสีดำสนิทต่างจากที่เคยเห็นยามปรกติ ดวงหน้าซีดขาวที่ต้องแสงไฟเป็นสีชมพูอมส้มดูเย็นชา สงบนิ่ง เป็นการยอมรับและยืนยันในสิ่งที่ตนเองตัดสินใจลงไปแล้ว
ซุบารุขยับตัวช้าๆ ขณะเบือนหน้ามาหา หญิงชราแย้มรอยยิ้มบางตอบรับ แต่ทันทีที่สบเข้ากับ ‘ดวงตา’ สีอำพันข้างนั้น อดีตผู้นำตระกูลสุเมรากิก็ถึงกับชะงัก...
...‘พลังเวท’ รุนแรง แข็งแกร่ง หากเต็มไปด้วยความมืดดำพุ่งเข้ากระทบ ...แม้เพียงบางเบา แผ่วพลิ้วราวสายลมอ่อนโชยผ่านดอกไม้ไหว แต่ก็ทำให้ทั่วทั้งร่างแข็งเกร็ง ใจเต้นระรัว สั่นสะท้านเจียนจะขาดเสียให้ได้
...ซากุระสึกะ
...ซากุระสึกะโมริ
...คนๆ นี้คือ ประมุขตระกูลซากุระสึกะคนปัจจุบัน ....ซากุระสึกะโมริ........
“ท่านย่า”
เสียงเรียกที่แสนคุ้นหูดังขึ้นเบาๆ ดึงจิตใจที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนและเจ็บปวดให้กลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
เมื่อสงบอารมณ์ ลืมตาขึ้น ก็เห็นหลานชายคนเดียวเข้ามาอยู่ข้างๆ แววตาตื่นตกใจ ท่าทางลนลาน ทำอะไรไม่ถูกที่เคยเห็นอยู่เสมอเรียกรอยยิ้มให้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง
“ไม่เป็นไร..ย่าแค่เหนื่อยนิดหน่อย” หญิงชราโบกมือน้อยๆ ให้อีกฝ่ายคลายความกังวลพลางมองไปรอบๆ “มืดแล้ว ทำไมไม่ให้ใครเข้ามาจุดไฟเพิ่ม”
“ไม่มีใครกล้าเข้ามาครับ” ซุบารุยิ้มอ่อนๆ ยกมือขึ้นแตะซีกหน้าด้านขวาเบาๆ เพื่อบอกเป็นนัยๆ “แล้วผมก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรด้วย”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ควรละเลยมารยาทที่ควรมีต่อผู้นำตระกูล” รุ่นที่ 12 นิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ
...แค่นี้ ก็แสดงความไม่ยำเกรงกันเสียแล้วงั้นหรือ
“อดีต..มากกว่าครับ” รุ่นที่ 13 ยังยิ้มได้ ประกายตายังสงบนิ่ง ไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งที่ตนไม่เคยต้องการมาแต่ต้น “กลุ่มผู้อาวุโสคงไม่ยอมรับ ‘ผม’ อีกแล้ว”
...ทั้งความเย็นชา หมางเมิน ของคนที่ได้พบยามเดินทางมาถึงบ้านใหญ่
...ความเงียบงัน ว้าเหว่ตลอดเวลาที่รอ ‘คำพิพากษา’ อยู่พียงลำพังในห้องที่มืดมิดและหนาวเย็น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และ
...ความกลัว หวาดระแวง ของคนใกล้ชิดที่หลบลี้หนีหน้าที่ยังอวลอยู่ในทุกอณูของบรรยากาศรอบๆ
ทุกอย่างเป็น ‘หลักฐาน’ ชั้นดี บ่งบอกถึง ‘ผล’ ที่กำลังจะได้รับรู้
...กลุ่มผู้อาวุโสคงมีความเห็นให้ ‘ปลด’ เขาออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างแน่นอน
“พวกนั้นยอมรับการตัดสินใจของซุบารุ แต่..ยอมรับผลที่จะเกิดต่อมาจากการตัดสินใจนั้นไม่ได้” เสียงถอนใจยาวดังขึ้นก่อนจะเอ่ยคำอธิบายต่อไป “สุเมรากิกับซากุระสึกะเป็นศัตรูกันมานาน..นานมาก..นานเกินไป นานจนคนของสุเมรากิทุกคนไม่อาจเปิดใจยอมรับใครก็ตามที่มีแม้เสี้ยวของสายเลือดของซากุระสึกะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ซากุระสึกะโมริ’ ด้วยแล้ว.....”
คนที่กำลังจะเป็น ‘อดีต’ ผู้นำตระกูลยังคงยิ้มได้ ดวงตานิ่งเฉยจนคาดเดาความรู้สึกไม่ถูกอีกครั้ง
“การสืบทอดตำแหน่งรุ่นที่ 14 คงจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า แต่ไม่ว่ายังไงผู้อาวุโสทุกคนรวมทั้งย่าด้วยคงต้องขอร้องให้ซุบารุอยู่เป็นองเมียวจิของตระกูลตามเดิม”
“เอ๋...” น้ำเสียงบอกชัดว่าคนฟังแปลกใจจริงๆ
“สำหรับสุเมรากิแล้วผู้มีพลังวิญญาณแก่กล้ารุ่นหลังๆ นี้หายากเหลือเกิน ขนาดผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้นำรุ่นที่ 14 ได้ก็ยังอ่อนด้อยเสียจนน่าหวั่นใจ ในขณะเดียวกันผู้นำของซากุระสึกะตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและทรงอำนาจที่สุดเท่าที่เคยมีมา...จนอาจลบชื่อสุเมรากิทั้งตระกูลออกไปได้อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร....”
ฉับพลัน ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าก็ค้อมศีรษะลงต่ำเสียจนแทบเป็นการก้มคำนับ
“ในฐานะของผู้นำตระกูล รุ่นที่ 12 คงต้องขอร้องว่า..โปรดเมตตา ‘สุเมรากิ’ ด้วย”
“ท่านย่า.....ผม...ผมไม่....”
‘หลานชาย’ ที่ตอนนี้กลายเป็นประมุขตระกูลซากุระสึกะเบิกตากว้างด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ พลางขยับเข้าไปจนชิด สองแขนยื่นออกมา แต่แล้วก็หยุดไว้เมื่อปลายนิ้วแตะถูกชุดสีขาวสะอาดของอีกฝ่าย
...สีขาว..ช่างตัดกับสีดำของชุดที่เขาใส่อยู่
...เมื่อ 9 ปีที่แล้ว เขาสูญเสียพี่สาว
...และตอนนี้ เขากำลังจะเสีย ‘ย่า’ และความเป็น ‘สุเมรากิ’ ที่ติดตัวมาตลอดนับแต่เกิดมา
หัวใจเหมือนถูกบีดรัดจนเจ็บร้าว ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดลอดออกมาจากลำคอ หากแต่ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด
...หรือ สุเมรากิ ซุบารุ ที่แสนอ่อนโยนคนนั้นจะเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ
แต่ในวินาทีถัดมา ทั่วร่างก็โอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดอันแสนนุ่มนวล อ่อนโยน เช่นที่เคยได้รับเสมอเมื่อครั้งยังเล็ก
“แต่ในฐานะ ‘ย่า’ คนนึง คงบอกได้แค่ว่า ถ้ามีอะไรที่คนแก่ๆ แถมขาพิการคนนี้พอจะทำได้ก็ขอให้บอก เพราะตอนนี้ย่าเหลือแค่ซุบารุคนเดียว เราเหลือกันแค่ 2 คนเท่านั้น”
แม้ปราศจากคำพูดใดๆ แต่น้ำตาที่หยุดไหลไปนานกลับเอ่อล้นท่วมหัวใจและรินไหลออกมาช้าๆ ตามด้วยการทิ้งตัวลงในอ้อมแขนที่ยามเป็นเด็กรู้สึกว่ามันช่างอบอุ่นนักหนา แล้วโอบกอดตอบรับสัมผัสที่ได้รับแนบแน่น
“ถ้านี่เป็นสิ่งที่ซุบารุตัดสินใจเลือกแล้ว” มือเหี่ยวย่นลูบไล้ศีรษะเล็กไปมาอย่างปลอบโยน “ขอแค่ว่า ถึงซากุระช่วงชิงหัวใจไปได้สำเร็จ แต่อย่าปล่อยให้ซากุระชุบย้อมวิญญาณจนเป็นสีดำ ...พลังเวทกับการนำไปใช้มันเป็นคนละเรื่องกัน”
ไม่มีคำตอบ แต่รู้สึกได้ถึงการพยักหน้ารับเบาๆ
“อีกอย่าง แม้จะไม่มีสิ่งสำคัญให้ปกป้องแล้ว ก็จงปกป้องผู้อื่นเพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถปกป้องสิ่งสำคัญของตนเองได้ต่อไป แค่นี้...ย่าขอมากไปมั้ย”
ร่างในอ้อมแขนพยักหน้ารับอีกครั้ง นิ้วมือผอมๆ จึงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าให้เบามือ
“ไป...ไปล้างหน้าล้างตาก่อน แล้วมาทานข้าวกัน เอาชุดนี่ไปเก็บซะด้วย”
คล้อยหลังผู้นำรุ่นที่ 13 ที่เดินออกไปอย่างว่าง่าย รุ่นที่ 12 ก็ผ่อนลมหายใจยาว จิตใจพลันสงบขึ้นมาอย่างประหลาด
... ‘สุเมรากิ’ แม้จะเข้าตาจนแต่ก็ยังคงอยู่ต่อไปได้ โดยมีซุบารุเป็นผู้ค้ำจุนตระกูลต่อไป แม้จะไม่ใช่ผู้นำตระกูลก็ตาม
ที่สำคัญ
...เธอไม่ได้เสียหลานชายให้กับซากุระสึกะ
สายเลือดสุเมรากิอันเข้มข้นยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างนั้น
.....................
.................
.................................................................................
กลางดึก....
หลังทานอาหารมื้อเย็น แม้ผู้เป็นย่าจะคะยั้นคะยอแกมบังคับให้พักค้างคืนอยู่ที่บ้านใหญ่ แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากให้ผู้คนในบ้านต้องนอนไม่หลับด้วยความหวาดผวาไปตลอดทั้งคืน
โชคดีที่ยังทันรถชินคันเซ็นเที่ยวสุดท้าย
การกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงที่ ‘บ้านใหญ่’ ไม่น่ากลัวอย่างที่คาดไว้ นอกจากนี้ยังได้เห็นรอยยิ้มของท่านย่ายามเขาส่ง ‘ของ’ ที่มีคนฝากมาให้
อดีตผู้นำตระกูลสุเมรากิ..ซากุสึกะโมริคนปัจจุบัน..แย้มรอยยิ้มบางอย่างสบายใจขณะเดินจากสถานีรถไฟกลับที่พัก
บรรยาศยามราตรีเงียบสงบ พระจันทร์ทอแสงสีเงินส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า รอบตัวมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากเสาไฟฟ้าตามรายทางจากที่ไกลๆ ส่องให้พอเห็นทางเดินข้างหน้า
...หนาว
อยู่ๆ ลมก็พัดกระโชกแรงจนต้องหลับตาแล้วกระชับเสื้อคลุมให้แนบตัว รู้สึกได้ถึงอะไรสักอย่างที่ปลิวคว้างลอยวนอยู่รอบๆ
เมื่อ่ลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้ากลับไม่ใช่สองข้างทางที่เคยเดินผ่านทุกที แต่เป็น...ซากุระต้นใหญ่ที่กำลังผลิดอกเต็มต้น กลีบซากุระสีชมพูระเรื่อโปรยปรายลงมาอย่างงดงาม จนต้องเดินเข้าไปใกล้ราวต้องมนต์สะกด
...ความทรงจำที่เคยลืมเลือน..ภาพที่เด็กชายตัวน้อยเคยเห็นเมื่อสิบกว่าปีก่อนย้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง
แค่ร่ายเวทเบาๆ ที่โคนต้นก็ลบเอาความเศร้า ความหมองหม่น และจิตพยาบาทที่มีอยู่ออกไปได้หมด วิญญาณเด็กหญิงที่เป็นอิสระลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าส่งยิ้มมาให้ก่อนจะหายไป
ซุบารุโบกมือตอบ ก่อนจะส่ายหน้าให้กับความไม่ได้เรื่องของตนเอง
...เขาควรทำสิ่งนี้เสียนานแล้ว ไม่น่าปล่อยให้เธอต้องรอนานขนาดนี้
แต่แล้วในวินาทีถัดมาก็รู้สึกผิดสังเกต
กลีบซากุระยังคงปลิวกระจายอยู่เบื้องหน้าไม่ยอมเลือนหายราวตอบรับพลังเวทของใครสักคน
....กลิ่นบุหรี่ ???
“คุณชอบซากุระมั้ยครับ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น