13/11/54

Tokyo Babylon : After Lives! (p3)


Chapter 3: I for You

เสียงทุ้มต่ำอันแสนคุ้นเคยดังก้องมาจากด้านบนศีรษะ ดวงหน้าเรียวเงยขึ้นก่อนเบิกตากว้าง วินาทีนั้นราวถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด ...กาลเวลาคล้ายย้อนคืนสู่อดีต

...ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนกิ่งซากุระ

อาจเป็นความคิดถึงที่มีมากจนเกินไป หรือไม่ก็...อาจเป็นภาพลวงหลอกตาที่มายาแห่งแสงจันทร์บิดเบือนสร้างขึ้นมาปรากฏให้เห็น

...เป็นไปได้หรือ?

ในเมื่อเขาเองที่เป็นคน.....

"ถ้าคุณทำแบบนั้น จะไม่มีซากุระสีชมพูเอานะครับ" เสียงของชายผู้นั้นยังดังต่อเนื่อง คล้ายเป็นการพิสูจน์ว่าไม่ใช่ความฝัน “ดอกซากุระเดิมเป็นสีขาว แต่เพราะมีศพฝังอยู่ใต้ต้น เมื่อดูดเลือดจากศพ ดอกซากุระจึงกลายเป็นสีชมพู จำได้ว่าเคยบอกซุบารุคุงไปแล้วนะ”

"คุณ...เซย์ชิโร่..."  

เสียงที่ลอดออกจากริมฝีปากบางแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ เมื่อเงาร่างนั้นขยับตัวลงมายืนเคียงข้าง

ร่างสูงหนาในชุดสูทสีดำตัวเดียวกับที่เห็นครั้งสุดท้ายดับก้นบุหรี่ในมือ นัยน์ตาดำ ยาวรีจ้องมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ...

"ดีใจจังครับ ที่ซุบารุคุงยอมรับ ตาข้างนี้ไว้” พูดพลางไล้ปลายนิ้วลงบนเปลือกตาขวาเบามือ เมื่อเห็น
ว่าร่างเล็กกว่าได้แต่ตะลึงค้างจนลืมผละหนี มือใหญ่ก็ยกขึ้นโอบข้างแก้มเบาๆ หากเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น

“เสียใจที่เจอผมเหรอครับ”

ซุบารุส่ายหน้า ลูกแก้วสีมรกตจับจ้องที่ใบหน้าคู่สนทนาไม่วางตา

คราวนี้ฝ่ามืออุ่นแนบกระชับ นิ้วยาวขยับไล้ผิวแก้มนิ่มช้าๆ แล้วเลื่อนลงมาแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากดุจจะเฟ้นหาความลับที่ซุกซ่อน ก่อนจะสรุป

“งั้นก็ดีใจจนพูดไม่ออกสินะ”

จากนั้น...แค่ออกแรงดึงเบาๆ ร่างเล็กบางก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างง่ายดาย

....รู้สึกเหมือนว่าช่วงเวลานี้จะยาวนานต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่....

“ทำไมครับ” ในที่สุดคนที่เอาแต่นิ่งเงียบก็เอ่ยถาม

“อะไรครับ”

“ทำไม ถึงได้.....”

ท่อนแขนที่โอบรอบแผ่นหลังกดน้ำหนักแรงขึ้นอย่างจงใจ

“อยากรู้เหตุผลเพื่อจะได้สวดส่งวิญญาณให้ผมได้ถูกงั้นเหรอครับ”

“ทำไม...” ไหล่บางเริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ มือเล็กสั่นระริกเสียจนมือใหญ่ต้องเลื่อนมารวบกำไว้แน่นอย่างแปลกใจ

“ซุบารุคุง?”

“ทำไม... ถึงต้องบังคับให้ผม ฆ่า คุณอีกเป็นครั้งที่สอง”

หยาดน้ำใสกลิ้งผ่านพวงแก้มร่วงหล่นลงพื้นโดยปราศจากเสียง

...เจ็บปวดเหลือเกิน

....ความรู้สึกยามที่มือเปรอะไปด้วยเลือด น้ำหนักจากร่างไร้เรี่ยวแรงที่ทรุดลงทาบทับ และสุดท้าย...ลมหายใจที่ขาดหาย

“ทำไมถึงได้เกลียดผมมากถึงขนาดนั้น.... ”

 ราวทนฟังต่อไปไม่ไหว ปลายนิ้วอุ่นๆ แตะลงที่ริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เงียบ

“อย่าร้องไห้สิครับ” เสียงนุ่มกระซิบปลอบดุๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้นสักหน่อย”

“ก็...”

“ผมไปไหนไม่ได้ต่างหากครับ ทั้งๆ ที่เห็นเส้นทางของโลกหน้าอยู่ไกลๆ แต่พอเข้าไปใกล้..เส้นทางนั้นก็ดูจะห่างออกไป จนได้พบกับโฮคุโตะจังถึงได้เข้าใจ”

“ครับ?” ซุบารุกระพริบตาอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ผมยังไม่ตายนี่ครับ” เซย์ชิโร่แย้มรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่ง ยกปลายนิ้วไล้เปลือกตาข้างขวาของคนตรงหน้าอีกครั้ง “ผมยังมีชีวิตอยู่ในตัวคุณ เหมือนกับโฮคุโตะจังที่ยังอยู่ในโลกนี้ได้เพราะเป็นฝาแฝด เป็นส่วนนึงของคุณเหมือนกัน”

“หมายความว่า...”

“คงต้องรอให้อายุขัยของคุณหมดก่อนมั้งครับ เรา 3 คนถึงจะได้ไปโลกหน้าด้วยกัน ตอนนี้ผมเลยเป็นได้แค่วิญญาณที่ยังไปไหนไม่ได้เท่านั้น เทียบกับ ซากุระสึกะโมริ แล้ว พลังอำนาจของคุณมากกว่า วิญญาณธรรมดาๆ อย่างผมไม่รู้กี่เท่า ตอนนี้ถ้าซุบารุคุงจะใช้เวทสลายวิญญาณ ผมก็คงต้องยอมรับอย่างเดียว...อย่างน้อย...แค่ได้เห็นหน้าคุณวันนี้ก็พอใจมากแล้ว”

คนตัวเล็กกว่าตรงหน้าไม่โต้ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้าไปมาอีกครั้ง อ้อมแขนจากที่คลายออกหลวมๆ ก็กลับกระชับแน่นขึ้น

“พูดถึงขนาดนี้แล้ว ซุบารุคุงจะใจร้าย ไม่เก็บวิญญาณเร่ร่อนน่าสงสารอย่างผมไปเลี้ยงมั่งเหรอครับ”

คนฟังกลอกตางุนงง ความลังเลฉายรอยชั่วแวบ จนต้องเบนหลบดวงตาดำสนิททอประกายจัดที่ยังจับจ้องตรงมา

...ไม่ต่างจากคำปฏิเสธกลายๆ ที่น่าจะเพียงพอให้หยุดคิด

ไม่ไว้ใจสินะครับ เพราะผมเคยทำให้คุณเจ็บปวดเสียขนาดนี้” เซย์ชิโร่ที่ยังยิ้มได้เรื่อยๆ คลายมือลงโอบรอบเอวอีกฝ่ายไว้ พลางเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ช้าๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ากระทบ ก่อนกระซิบถามเบาๆ

“ซุบารุคุงเกลียดผมรึเปล่า...”

ไม่มีคำตอบจากร่างเล็กตรงหน้า ..แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ให้โอกาสผมสิครับ” ริมฝีปากนุ่มยั่วยิ้มเป็นต่อยังคลอเคลียอยู่ข้างใบหู “1 ปีต่อจากนี้ ผมจะทำให้ซุบารุคุงรักผมให้ได้เหมือนเดิม ดีมั้ย

ใครจะรู้...วินาทีถัดมาร่างเล็กก็สะบัดตัวออกรวดเร็ว หมุนตัวก้าวเดินออกไปโดยไม่ยอมมองหน้า มีแต่เสียงพึมพำซ้ำๆ ซากๆ ตามลมมาเบาๆ

“ขี้โกงนี่ คุณเซย์ชิโร่ขี้โกง”

......

......

รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังค่อยๆ เลือนหายไป รอยยิ้มที่แสนเย็นชาของ อดีตซากุระสึกะโมริผุดขึ้นช้าๆ นัยน์ตาคมกริบมองตามร่างบางที่เดินจ้ำไปข้างหน้าอย่างหมายมั่น


...คืนนี้ผมจะปล่อยคุณไปก่อน

...แต่อีกไม่นาน คุณจะกลับมาเป็นของผมอีกครั้ง

Tokyo Babylon : After Lives! (p2)


Chapter 2: ‘สุเมรากิ หรือ ซากุระสึกะ


อาทิตย์ที่แล้ว....

บ้านใหญ่ตระกูลสุเมรากิ เกียวโต

“ขอโทษที่ต้องให้รอนาน คุยกันเสร็จแล้วล่ะ”

เสียงเบาแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าทว่ายังคงความเข้มแข็งหนักแน่นของผู้นำตระกูลสุเมรากิ รุ่นที่ 12 ดังขึ้นขณะเลื่อนเก้าอี้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเข้ามาในห้องรับรองขนาดใหญ่

ทุกสิ่งจมอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงริบหรี่จากตะเกียงน้ำมันหอมดวงเล็กๆ ที่มุมห้อง แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้หัวใจของหญิงชราวูบไหวไปด้วยความเจ็บร้าว

...แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องจับต้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของ หลานชาย ที่นั่งพับขาหันข้างให้ประตู ข้างหน้ามีชุดทำพิธีของ ผู้นำตระกูลแบบเต็มยศที่เจ้าตัวเคยสวมใส่วางไว้

...หลานชายที่ย่าคนนี้ไม่เคยปกป้องได้แม้สักครั้ง

ร่างเล็กๆ ผอมบางอยู่ในชุดสีดำสนิทต่างจากที่เคยเห็นยามปรกติ ดวงหน้าซีดขาวที่ต้องแสงไฟเป็นสีชมพูอมส้มดูเย็นชา สงบนิ่ง เป็นการยอมรับและยืนยันในสิ่งที่ตนเองตัดสินใจลงไปแล้ว   

ซุบารุขยับตัวช้าๆ ขณะเบือนหน้ามาหา หญิงชราแย้มรอยยิ้มบางตอบรับ แต่ทันทีที่สบเข้ากับ ดวงตาสีอำพันข้างนั้น อดีตผู้นำตระกูลสุเมรากิก็ถึงกับชะงัก...

...พลังเวท รุนแรง แข็งแกร่ง หากเต็มไปด้วยความมืดดำพุ่งเข้ากระทบ ...แม้เพียงบางเบา แผ่วพลิ้วราวสายลมอ่อนโชยผ่านดอกไม้ไหว แต่ก็ทำให้ทั่วทั้งร่างแข็งเกร็ง ใจเต้นระรัว สั่นสะท้านเจียนจะขาดเสียให้ได้


...ซากุระสึกะ

...ซากุระสึกะโมริ

...คนๆ นี้คือ ประมุขตระกูลซากุระสึกะคนปัจจุบัน ....ซากุระสึกะโมริ........


“ท่านย่า”

เสียงเรียกที่แสนคุ้นหูดังขึ้นเบาๆ ดึงจิตใจที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนและเจ็บปวดให้กลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

เมื่อสงบอารมณ์ ลืมตาขึ้น ก็เห็นหลานชายคนเดียวเข้ามาอยู่ข้างๆ แววตาตื่นตกใจ ท่าทางลนลาน ทำอะไรไม่ถูกที่เคยเห็นอยู่เสมอเรียกรอยยิ้มให้เกิดขึ้นได้อีกครั้ง

“ไม่เป็นไร..ย่าแค่เหนื่อยนิดหน่อย” หญิงชราโบกมือน้อยๆ ให้อีกฝ่ายคลายความกังวลพลางมองไปรอบๆ “มืดแล้ว ทำไมไม่ให้ใครเข้ามาจุดไฟเพิ่ม”

“ไม่มีใครกล้าเข้ามาครับ” ซุบารุยิ้มอ่อนๆ ยกมือขึ้นแตะซีกหน้าด้านขวาเบาๆ เพื่อบอกเป็นนัยๆ “แล้วผมก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรด้วย”

“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ควรละเลยมารยาทที่ควรมีต่อผู้นำตระกูล” รุ่นที่ 12 นิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ

...แค่นี้ ก็แสดงความไม่ยำเกรงกันเสียแล้วงั้นหรือ

“อดีต..มากกว่าครับ” รุ่นที่ 13 ยังยิ้มได้ ประกายตายังสงบนิ่ง ไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งที่ตนไม่เคยต้องการมาแต่ต้น “กลุ่มผู้อาวุโสคงไม่ยอมรับ ผมอีกแล้ว”  

...ทั้งความเย็นชา หมางเมิน ของคนที่ได้พบยามเดินทางมาถึงบ้านใหญ่

...ความเงียบงัน ว้าเหว่ตลอดเวลาที่รอ คำพิพากษาอยู่พียงลำพังในห้องที่มืดมิดและหนาวเย็น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 และ

...ความกลัว หวาดระแวง ของคนใกล้ชิดที่หลบลี้หนีหน้าที่ยังอวลอยู่ในทุกอณูของบรรยากาศรอบๆ

ทุกอย่างเป็นหลักฐานชั้นดี บ่งบอกถึง ผล ที่กำลังจะได้รับรู้

...กลุ่มผู้อาวุโสคงมีความเห็นให้ ปลด เขาออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างแน่นอน

“พวกนั้นยอมรับการตัดสินใจของซุบารุ แต่..ยอมรับผลที่จะเกิดต่อมาจากการตัดสินใจนั้นไม่ได้” เสียงถอนใจยาวดังขึ้นก่อนจะเอ่ยคำอธิบายต่อไป “สุเมรากิกับซากุระสึกะเป็นศัตรูกันมานาน..นานมาก..นานเกินไป นานจนคนของสุเมรากิทุกคนไม่อาจเปิดใจยอมรับใครก็ตามที่มีแม้เสี้ยวของสายเลือดของซากุระสึกะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซากุระสึกะโมริด้วยแล้ว.....”

คนที่กำลังจะเป็น อดีต ผู้นำตระกูลยังคงยิ้มได้ ดวงตานิ่งเฉยจนคาดเดาความรู้สึกไม่ถูกอีกครั้ง

“การสืบทอดตำแหน่งรุ่นที่ 14 คงจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า แต่ไม่ว่ายังไงผู้อาวุโสทุกคนรวมทั้งย่าด้วยคงต้องขอร้องให้ซุบารุอยู่เป็นองเมียวจิของตระกูลตามเดิม”

“เอ๋...” น้ำเสียงบอกชัดว่าคนฟังแปลกใจจริงๆ

“สำหรับสุเมรากิแล้วผู้มีพลังวิญญาณแก่กล้ารุ่นหลังๆ นี้หายากเหลือเกิน ขนาดผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้นำรุ่นที่ 14 ได้ก็ยังอ่อนด้อยเสียจนน่าหวั่นใจ ในขณะเดียวกันผู้นำของซากุระสึกะตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและทรงอำนาจที่สุดเท่าที่เคยมีมา...จนอาจลบชื่อสุเมรากิทั้งตระกูลออกไปได้อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร....”

ฉับพลัน ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าก็ค้อมศีรษะลงต่ำเสียจนแทบเป็นการก้มคำนับ 

“ในฐานะของผู้นำตระกูล รุ่นที่ 12 คงต้องขอร้องว่า..โปรดเมตตา สุเมรากิ ด้วย”

“ท่านย่า.....ผม...ผมไม่....”

หลานชาย ที่ตอนนี้กลายเป็นประมุขตระกูลซากุระสึกะเบิกตากว้างด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ พลางขยับเข้าไปจนชิด สองแขนยื่นออกมา แต่แล้วก็หยุดไว้เมื่อปลายนิ้วแตะถูกชุดสีขาวสะอาดของอีกฝ่าย


...สีขาว..ช่างตัดกับสีดำของชุดที่เขาใส่อยู่

...เมื่อ 9 ปีที่แล้ว เขาสูญเสียพี่สาว

...และตอนนี้ เขากำลังจะเสีย ย่า และความเป็น สุเมรากิที่ติดตัวมาตลอดนับแต่เกิดมา


หัวใจเหมือนถูกบีดรัดจนเจ็บร้าว ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดลอดออกมาจากลำคอ หากแต่ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด


...หรือ สุเมรากิ ซุบารุ ที่แสนอ่อนโยนคนนั้นจะเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ


แต่ในวินาทีถัดมา ทั่วร่างก็โอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดอันแสนนุ่มนวล อ่อนโยน เช่นที่เคยได้รับเสมอเมื่อครั้งยังเล็ก

“แต่ในฐานะ ย่า คนนึง คงบอกได้แค่ว่า ถ้ามีอะไรที่คนแก่ๆ แถมขาพิการคนนี้พอจะทำได้ก็ขอให้บอก เพราะตอนนี้ย่าเหลือแค่ซุบารุคนเดียว เราเหลือกันแค่ 2 คนเท่านั้น”

แม้ปราศจากคำพูดใดๆ แต่น้ำตาที่หยุดไหลไปนานกลับเอ่อล้นท่วมหัวใจและรินไหลออกมาช้าๆ ตามด้วยการทิ้งตัวลงในอ้อมแขนที่ยามเป็นเด็กรู้สึกว่ามันช่างอบอุ่นนักหนา แล้วโอบกอดตอบรับสัมผัสที่ได้รับแนบแน่น

“ถ้านี่เป็นสิ่งที่ซุบารุตัดสินใจเลือกแล้ว” มือเหี่ยวย่นลูบไล้ศีรษะเล็กไปมาอย่างปลอบโยน “ขอแค่ว่า ถึงซากุระช่วงชิงหัวใจไปได้สำเร็จ แต่อย่าปล่อยให้ซากุระชุบย้อมวิญญาณจนเป็นสีดำ ...พลังเวทกับการนำไปใช้มันเป็นคนละเรื่องกัน”

ไม่มีคำตอบ แต่รู้สึกได้ถึงการพยักหน้ารับเบาๆ

“อีกอย่าง แม้จะไม่มีสิ่งสำคัญให้ปกป้องแล้ว ก็จงปกป้องผู้อื่นเพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถปกป้องสิ่งสำคัญของตนเองได้ต่อไป แค่นี้...ย่าขอมากไปมั้ย”

ร่างในอ้อมแขนพยักหน้ารับอีกครั้ง นิ้วมือผอมๆ จึงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าให้เบามือ

“ไป...ไปล้างหน้าล้างตาก่อน แล้วมาทานข้าวกัน เอาชุดนี่ไปเก็บซะด้วย”

คล้อยหลังผู้นำรุ่นที่ 13 ที่เดินออกไปอย่างว่าง่าย รุ่นที่ 12 ก็ผ่อนลมหายใจยาว จิตใจพลันสงบขึ้นมาอย่างประหลาด

...สุเมรากิแม้จะเข้าตาจนแต่ก็ยังคงอยู่ต่อไปได้ โดยมีซุบารุเป็นผู้ค้ำจุนตระกูลต่อไป แม้จะไม่ใช่ผู้นำตระกูลก็ตาม

ที่สำคัญ

...เธอไม่ได้เสียหลานชายให้กับซากุระสึกะ

สายเลือดสุเมรากิอันเข้มข้นยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างนั้น

.....................

.................

.................................................................................


กลางดึก....

หลังทานอาหารมื้อเย็น แม้ผู้เป็นย่าจะคะยั้นคะยอแกมบังคับให้พักค้างคืนอยู่ที่บ้านใหญ่ แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากให้ผู้คนในบ้านต้องนอนไม่หลับด้วยความหวาดผวาไปตลอดทั้งคืน

โชคดีที่ยังทันรถชินคันเซ็นเที่ยวสุดท้าย

การกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงที่ บ้านใหญ่ไม่น่ากลัวอย่างที่คาดไว้ นอกจากนี้ยังได้เห็นรอยยิ้มของท่านย่ายามเขาส่ง ของ ที่มีคนฝากมาให้

อดีตผู้นำตระกูลสุเมรากิ..ซากุสึกะโมริคนปัจจุบัน..แย้มรอยยิ้มบางอย่างสบายใจขณะเดินจากสถานีรถไฟกลับที่พัก

บรรยาศยามราตรีเงียบสงบ พระจันทร์ทอแสงสีเงินส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า รอบตัวมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากเสาไฟฟ้าตามรายทางจากที่ไกลๆ ส่องให้พอเห็นทางเดินข้างหน้า

...หนาว

อยู่ๆ ลมก็พัดกระโชกแรงจนต้องหลับตาแล้วกระชับเสื้อคลุมให้แนบตัว รู้สึกได้ถึงอะไรสักอย่างที่ปลิวคว้างลอยวนอยู่รอบๆ

เมื่อ่ลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้ากลับไม่ใช่สองข้างทางที่เคยเดินผ่านทุกที แต่เป็น...ซากุระต้นใหญ่ที่กำลังผลิดอกเต็มต้น กลีบซากุระสีชมพูระเรื่อโปรยปรายลงมาอย่างงดงาม จนต้องเดินเข้าไปใกล้ราวต้องมนต์สะกด

...ความทรงจำที่เคยลืมเลือน..ภาพที่เด็กชายตัวน้อยเคยเห็นเมื่อสิบกว่าปีก่อนย้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง

แค่ร่ายเวทเบาๆ ที่โคนต้นก็ลบเอาความเศร้า ความหมองหม่น และจิตพยาบาทที่มีอยู่ออกไปได้หมด วิญญาณเด็กหญิงที่เป็นอิสระลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าส่งยิ้มมาให้ก่อนจะหายไป

ซุบารุโบกมือตอบ ก่อนจะส่ายหน้าให้กับความไม่ได้เรื่องของตนเอง

...เขาควรทำสิ่งนี้เสียนานแล้ว ไม่น่าปล่อยให้เธอต้องรอนานขนาดนี้

แต่แล้วในวินาทีถัดมาก็รู้สึกผิดสังเกต

กลีบซากุระยังคงปลิวกระจายอยู่เบื้องหน้าไม่ยอมเลือนหายราวตอบรับพลังเวทของใครสักคน


....กลิ่นบุหรี่ ???



 “คุณชอบซากุระมั้ยครับ”

Tokyo Babylon : After Lives! (p1)

Shonen ai Warning : ช่วยไม่ได้ พระ-นายเรื่องนี้เค้ามาเป็นแพ็กเกจคู่ แต่ใจจริงเจสชอบคู่ซุบารุ-คามุยมากกว่าอะ  (ใครเห็นด้วยขอเสียงค่ะ)    

Author : jes

Pairing : มันจะคู่ไหนได้อีก ก็มีอยู่คู่เดียว แต่จะเอาตัวละครอื่นมาช่วยสร้างความร้าวฉาน เอ้ย สร้างสีสันแล้วกันนะ

Rate : NC17+ (อ่านไปเหอะ เขียนไปงั้นแหละ ไม่มีหรอก)

Disclaimer : เนื้อเรื่องและตัวละครเป็นลิขสิทธิ์ของ clamp ค่ะ ที่เจสเอามาเขียนเรื่องราวเพิ่มเติม ใครผ่านไปผ่านมาเจอเข้า..อ่านแล้วสนุกไปด้วยเจสก็ดีใจ ถ้าจะคัดลอกไปไหนก็ขอให้บอกกล่าวกันสักนิดนะคะ

Intro : ปวารนาตัวเป็นแม่ยกหนุ่มน้อยซุบารุคนนี้มาตั้งแต่อยู่ม.ต้น จนบัดนี้ก็ร่วมเกือบยี่สิบปี ไม่เคยนึกเขียนฟิก Tokyo Babylon ตรงๆ สักที ได้แต่เขียน cross กับ baramos เพราะพยายามทำใจยอมรับการตัดสินใจของ clamp ในการกำหนดทางเดินชึวิตของตัวละคร แต่พอไปอ่านเจอซุบารุที่รักในการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะ x หรือ tsubasa ก็ต้องถอนใจเฮือก ทำไมน้องถึงไม่มีความสุขในชีวิตกะเค้าบ้างสักทีนะ ชีวิตนี้ช่างรันทดแล้วรันทดอีก อย่ากระนั้นเลย...ถ้าแม่ตัวจริงอย่าง clamp ยังไม่มีคิวว่าง เดี๋ยวแม่ยกอย่างเจสจัดให้เองจ้ะ

-----------------------------------------------------------------------

Chapter 1: destiny or dream

2 เดือนที่ผ่านมา....

หลังจาก.....มังกรฟ้าที่ตั้งใจว่าจะเป็นผู้ ปกป้องและมังกรธรณีที่ยืนยันว่าจะเป็นผู้ เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไม่อาจเอาชนะกันได้อย่างเด็ดขาด ทั้ง 2 ฝ่ายจึงตกลงหยุดวงล้อแห่งชะตากรรม..ยุติสงครามระหว่างกันลงชั่วคราว  เพื่อใช้เวลา 15 ปีข้างหน้าเป็นเครื่องมือตัดสินอนาคต ว่าโลก...ยังควรค่าแก่การปกป้อง หรือคุ้มค่าที่จะได้รับเปลี่ยนแปลง...อีกครั้ง

.........

......... 

โตเกียวเริ่มกลับเข้าสู่สถานการณ์ปรกติ

…………………………


สถานีรถไฟฟ้า

“ขอบคุณที่กรุณาครับ”

ชายหนุ่มร่างเล็กก้มลงโค้งคำนับก่อนพลางกล่าวอำลาหญิงวัยกลางคนที่ลนลานรีบโค้งคำนับตอบด้วยความตกใจ

“ทางนี้ก็ขอขอบคุณเช่นกันค่ะ คุณ..เอ่อ....”

แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าอายุ 25 ปีแล้วก็ตาม แต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับดูอ่อนเยาว์ราวหนุ่มน้อยที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีดี หนำซ้ำเครื่องแต่งกายสีดำสนิทที่สวมใส่อยู่ก็ยิ่งขับผิวที่เดิมคงจะขาวอยู่แล้วให้ขาวจัดมากขึ้น เมื่อคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีเดียวกันก็ยิ่งข่มให้ร่างนั้นดูเล็กบางจนยากจะทำใจให้เชื่อว่าคนๆ นี้จะเป็น.......

ร่างเล็กยืดตัวขึ้น คลี่ยิ้มสดใส

“ซุบารุครับ ...สุเมรากิ ซุบารุ”

................


จากสถานีรถไฟฟ้า ยังต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีก็จะถึงอพาร์ตเมนต์ที่พัก

...ห้องพักเล็กๆ ที่เก็บงำทั้งความอบอุ่น ความสุข ความเศร้า ความเจ็บปวด หรือแม้แต่ความทุกข์ทรมานเอาไว้

ทันทีที่ปิดประตูห้อง ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนหน้าตึงกอดอกพิงระเบียงด้านนอกอยู่ก็หันหลังให้ทันที

บรรยากาศอึดอัด อึมครึม คล้ายคนหายใจไม่ออกห้อมล้อมอยู่รอบตัว เล่นเอาเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาลอบถอนใจเบาพลางเลื่อนบานประตูกระจกที่กั้นอยู่ออกก่อนเดินเข้าไปใกล้

ร่างตรงหน้าไม่หันมามองแม้สักนิด

“โกรธอะไรครับ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

นัยน์ตาดำรีตวัดมองแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“เปล่านี่ครับ”

“โกรธผมเหรอครับ” คนถามยังพยายามทำความเข้าใจต่อไป

“ไม่มีอะไร เรื่องของผมมันไร้สาระน่ะครับ อย่าสนใจเลย”

...แต่ท่าทางกับคำพูดของคุณมันตรงข้ามกันเลยนะ

“คุณเซย์ชิโร่....”

มือเล็กๆ ยื่นเข้ามาใกล้ แต่ก็ชะงักค้าง ไม่แตะลงมาบนท่อนแขนแข็งแรงอย่างที่อีกฝ่ายหมายใจไว้ แต่แค่เห็นปฏิกิริยาอึกๆ อักๆ ของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าที่ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวยังไงด้วยแล้ว ใจก็อ่อนยวบไปกว่าครึ่ง

...น่ะ ขอแกล้งอีกนิดก็ดีนะ

“ฮิ ฮิ ไม่โกรธ แค่งอนนิดหน่อยเอ๊งงงงงง เนอะ...เซย์จัง...เนอะ”

จู่ๆ เสียงใสๆ ของหญิงสาวก็ดังขัดจังหวะมาจากข้างในห้อง บรรยากาศสดใสค่อยๆ แทรกเข้ามาแทนที่ ซุบารุหันกลับไปมองแล้วก็ต้องระบายรอยยิ้มออกมา

“พี่”

ร่างโปร่งบางของหญิงสาวนั่งไขว่ห้างหมิ่นๆ อยู่บนโต๊ะทานข้าว แฝดพี่ที่เมื่อก่อนเหมือนกับคนน้องแทบเป็นพิมพ์เดียวกัน ถึงตอนนี้จะโตๆ กันแล้วก็ยังค่อนข้างคล้ายกันอยู่

“ถ้าโฮคุโตะจังมาแล้ว...ก็ดีครับ ผมขอตัวดีกว่า”

ร่างสูงหมุนตัวกลับเชื่องช้า อ้อยอิ่งรอเวลาเล็กน้อย จนรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ จากร่างเล็กที่ผวาเข้ามาดึงแขนเอาไว้แน่นนั่นล่ะ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทั้งที่ริมฝีปากและดวงตาก็ปรากฏขึ้นชั่วแวบก่อนจางหายไปในวินาทีต่อมา

“คุณเซย์ชิโร่....” ซุบารุละล่ำละลักด้วยความตกใจ “ขอโทษ ผมขอโทษนะ อย่า...อย่าเพิ่งหายไปนะครับ”

เมื่อร่างสูงหันกลับมา นัยน์ตาและรอยยิ้มที่แสนเย็นชาเหมือนเมื่อครั้งยังเป็น ซากุระซึกะโมริก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า บรรยากาศบีบอัด กดดันชนิดหยุดลมหายใจพุ่งตรงเข้าโจมตีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวอีกครั้ง จนร่างเล็กได้แต่นิ่งงัน

“เมื่อกี้ทำไมคุณแนะนำตัวแบบนั้น”

“ผม...แนะนำตัว...เอ่อ....” คนตกเป็นจำเลย พูดไม่ออก บทจะโยกโย้โยเยก็พูดกันไม่รู้เรื่อง พอจะเข้าเรื่องก็ตรงเผงเสียจนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก “ผม...แนะนำตัว....เอ่อ....”

“โธ่เอ้ย!” เสียงผู้หญิงคนเดียวในห้องดังขึ้นอย่างสุดแสนจะขัดใจ พออดรนทนไม่ไหวเลยต้องเดินออกมาร่วมวงสนทนาที่ระเบียงด้านนอกด้วยอีกคน “เซย์จังนี่...พูดอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ ต่อให้อีก 3 วันถัดไป ซุบารุก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี........แล้วก็นะ ซุบารุเอ้ย... เซย์จังเค้าโมโหที่เมื่อกี้เราไปแนะนำตัวกับ...เอ่อ...ว่า “สุเมรากิ ซุบารุ” ไงล่ะ”

“หา”

“ไม่ต้องมาหาอะไรแถวนี้หรอกย่ะ” ว่าพลางเอานิ้วจิ้มหน้าผากน้องชายจึ้กๆ “ทำไมไม่บอกไปล่ะว่า....”

“ซากุระสึกะครับ...ซากุระสึกะ ซุบารุ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นกลบเสียงสองพี่น้อง “ตอนนี้คุณคือ ซากุระสึกะโมริคนปัจจุบัน เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากผม แล้วทำไมยังต้องแนะนำตัวแบบเดิมๆ อีก” 

“คุณเซย์ชิโร่....”  ซากุระสึกะโมริคนปัจจุบัน อึ้ง ตะลึง พูดอะไรไม่ออก

“กิ๊วๆ เซย์จัง ขี้ตู่แบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าชอบก็ต้องมาสู่ขอตามประเพณีก่อนสิ” แฝดพี่ได้ทีแกล้งทำท่าสั่งสอน ว่าที่น้องเขย ทันที ก่อนหันกลับมาหาแฝดน้องที่เอายืนนิ่ง “เข้าใจยัง เซย์จังเค้าโมโหที่เธอไม่ยอมใช้นามสกุลเค้าแน่ะ“

“อืม...ต้องทำอย่างนั้นเหรอครับโฮคุโตะจัง งั้นผมคงผิดเองล่ะที่ ข้ามขั้น ไปหน่อย ซุบารุคุงเลยไม่ยอมรับ”

“ก็นั่นน่ะซี้...งั้นตอนนี้ก็รู้ตัวแล้วนะ เซย์จังก็ต้อง...”

“ผม.....ผม.....ผมง่วงนอนแล้ว ขอตัวนะ” เสียงตะโกนลั่นหวังใช้ความโกรธดับอายดังขึ้นก่อนก้าวยาวๆ กลับเข้าไปในห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านใน แต่ถึงอย่างนั้นก็ปกปิดใบหน้าที่แดงก่ำไปถึงหูได้ไม่มิด

ลงท้ายก็ยังไม่วายได้ยินเสียงกวนหัวใจดังไล่ตามหลังมา

“ซุบารุคุง พรุ่งนี้เรามีนัดกันนะครับ”

“ใช่ๆ เรื่องที่ขอให้ช่วยน่ะ พรุ่งนี้นะ อย่าลืมซะล่ะ”

เสียงเปิดปิดประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงวิญญาณ 2 ดวงที่หันมามองหน้า ยกมือขึ้นตบแปะกันกลางอากาศ แล้วประสานเสียงหัวเราะลั่น

“น้องชายฉัน เฮ้อ! ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังซื่อจนเซ่อเหมือนเดิม เซย์จังเสียใจรึเปล่าที่ต้องมาติดแหง็กอยู่กับคนแบบเนี้ย” สุเมรากิ โฮคุโตะที่ลงไปนั่งกองกับพื้นถามพลางยกมือขึ้นป้ายน้ำตา

“ผมไม่เคยรังเกียจซุบารุคุงที่เป็นแบบนี้หรอกครับ” ซากุระสึกะ เซย์ชิโร่ยิ้มตอบ พลางมองตรงไปยังประตูห้องพักชั้นในด้วยประกายตาที่คาดเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่

“ว่าแต่....โฮคุโตะจัง...เราแกล้งซุบารุคุงหนักไปรึเปล่า”