Chapter 2: 2nd day
เช้าวันต่อมา
กว่าคาดาจจะตื่น คลาวด์ก็ไม่อยู่แล้ว เพราะงั้นภาระกิจแรกที่คาดาจ ยาซู และลอซทำหลังจากอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็คือ...ตามหาคลาวด์ไปทั่วบ้าน
….พี่ชายยยยยย…..…
….พี่ชายหายไปไหน
….ใครเห็นพี่ชายบ้าง
เสียงดังกุกกักๆ ในห้องเล็กๆ ข้างๆ ห้องนั่งเล่นชั้น 1 ทำให้เด็กๆ ผมเงินยิ้มออก แต่พอโผล่หน้าเข้าไปดูถึงเห็นว่าเป็นทิฟ่า มาร์ลีน กับเดนเซลที่กำลังช่วยกันทำอาหารเช้าอยู่ในครัว
“คลาวด์ไปรับของที่ต้องไปส่งเช้านี้” พอเห็นหน้าจ๋อยๆ ของทั้ง 3 คนเข้า ทิฟ่าก็อดใจอ่อนไม่ได้ “เดี๋ยวเขาก็ต้องกลับมากินข้าวเช้าน่า”
“ข้าวเช้า” ลอซชักสนใจ “เหมือนกับที่กินเมื่อวานรึเปล่า”
“อยากรู้ก็มาช่วยกัน” ทิฟ่ายิ้มถูกใจที่จะได้คนช่วยงานเพิ่มพลางส่งถาดถ้วยกาแฟให้ลอซกดน้ำร้อนใส่ ขวดใส่ซอสมะเขื่อเทศกับพริกไทยให้ยาซูไปโรยบนจานไข่ดาว และถุงขนมปังให้คาดาจเอาไปใส่เครื่องปิ้ง
หารู้ไม่ว่าคิดผิด!
“เหวอ”
ทิฟ่าที่กำลังทอดเบค่อนเพลินๆ สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงลอซร้องลั่นเพราะโดนน้ำร้อนในกระติกน้ำร้อนกระเด็นใส่เอา ตามด้วยเสียงแก้วแตกและเสียงน้ำหกดังต่อเนื่อง
“ระวังหน่อยสิ ลอซ” ยาซูหันไปดุจอมเปิ่นประจำกลุ่มขณะเขย่าขวดโรยพริกไทยปั่บๆ ลงไปบนไข่ดาวแบบเกินพิกัดอัตราที่คนจะกินได้ ทีนี้จะเพราะเขย่าแรงเกินไปหรือเพราะฝาขวดพริกไทยมันหลวมอยู่แล้วก็ไม่รู้ได้ พริกไทยป่นทั้งขวดเลยเทพรวดออกมาฟุ้งกระจาย เรียกเสียงจาม เสียงไอ เสียงสูดน้ำมูกฟืดฟาดให้ดังลั่นสนั่นครัว
พออิทธิฤทธิ์ระเบิดพริกไทยของยาซูเริ่มเบาบางลง ทิฟ่าที่ทั้งจามทั้งไอจนน้ำหูน้ำตาไหลพรากๆ ก็แทบลมจับเมื่อเห็นขนมปังปิ้งฝีมือคาดาจที่ปิ้งเสร็จไปแล้วครึ่งโหลกว่า
“แบบนี้ใช้ได้แล้วใช่มั้ย” คนปิ้งทำหน้าไม่ค่อยแน่ใจ เพราะยังไม่เคยกิน
“อืมมมม ใช้ได้” วินเซนต์ที่กลับจากออกไปเดินเล่นแล้วได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวในครัวเลยทันได้เห็นช็อตเด็ดพยักหน้าให้ขณะกลั้นหัวเราะเอาไว้จนตัวสั่นไปหมด “ดำได้ ดำดี ดำปี๋เสมอทั่วกันทั้งแผ่นจริงๆ”
“ไม่ตลกนะยะ” ทิฟ่าที่หมดความอดทนแว้ดใส่ก่อนจะค่อยหน้าชื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จอดหน้าบ้าน
…. คลาวด์ คลาวด์จ๋า~~ คลาวด์มาแล้ว ช่วยมาเอาเจ้าตัวป่วนพวกนี้ออกไปที โอ๊ย! อยากจะกรี๊ด~~
…………………………………….…
และแล้วหลังอาหารมื้อเช้าที่ค่อนข้างทุลักทุเลเสร็จสิ้นลง ทุกคนก็เริ่มลงมือทำกิจวัตรของตัวเอง
ลอซกับคาดาจเดินตามคลาวด์ออกไปนอกบ้าน แต่ก่อนที่ยาซูจะตามไปอีกคนก็มีอย่างอื่นดึงดูดความสนใจเอาไว้ซะก่อน
วินเซนต์กำลังติดตั้งเกมฝึกยิงปืนลงบนเครื่องเล่นที่ต่อเข้ากับหน้าจอทีวี
“ลองดูมั้ย”
พอหันมาเห็นเขาเข้า วินเซนต์ก็ยื่นเครื่องมือประหลาดๆ ที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนปืนมาให้แล้วอธิบายวิธีเล่น
“นายใช้จอยสติ๊ก...หมายถึงที่ถืออยู่ในมือน่ะ เลื่อนสัญลักษณ์ ‘เล็ง’ ไปที่เป้าหมายแล้วกดปุ่มยิง ลองระดับง่ายๆ ก่อนแล้วกัน”
หน้าจอทีวีมีรูปเป้าบินปรากฏขึ้น หลังจากลองผิดลองถูกอยู่สักพักยาซูก็จัดการเคลียร์สเตจได้อย่างรวดเร็ว
“เก่งนี่” นัยน์ตาสีแดงของวินเซนต์หรี่มอง ....หรือเขาจะเจอคู่ปรับระดับตัวเอ้เข้าให้แล้ว “ลองดูระดับยากกว่านี้หน่อย”
“สบาย...” ยาซูสะบัดผมยาวไปข้างหลังแล้วจงใจฉีกยิ้มแบบ ‘นางมารร้าย’ ให้วินเซนต์เมื่อใช้เวลาไม่ถึง10 นาทีเคลียร์สเตจ แถมคะแนนรวมที่ได้ยังกระแทกเจ้าของเกมร่วงจากอันดับหนึ่งซะอีก
“ดี” วินเซนต์พยักหน้า พออกพอใจที่เจอคู่มือที่ทัดเทียมขณะคว้าจอยสติ๊กอีกตัวต่อเข้ากับเครื่องเล่น “เรามาดวลกันดีกว่า”
…………………………………….…
ข้างหน้าบาร์ ตอนนี้นอกจากเฟนริลของคลาวด์แล้วยังมีกล่องผัก ผลไม้นับสิบๆ กล่องที่เพิ่งมาส่งกองอยู่เต็ม...ผักพวกนี้ส่วนนึงทิฟ่าจะเก็บไว้ทำอาหาร ที่เหลือ..ร้านค้าหรือบ้านเรือนที่ฝากสั่งซื้อจะมารับเองในช่วงสายๆ
“18....19....20 ตรงนี้ 20 กล่องพอดี” มาร์ลีนนับกล่องผักที่วางอยู่บนพื้น ส่วนเดนเซลก็กำลังจดตัวเลขที่ได้ลงในสมุดเช็กจำนวนของ
“ตรงเป๊ะ” หนุ่มน้อยว่าพลางยิ้มกว้างแล้ววางสมุดลงบนเก้าอี้เล็กๆ แล้วยืดตัวขึ้นขยับจะยกกล่องผักที่อยู่ข้างบน 2 กล่องลงมา แต่จะเพราะเขาตัวเล็กเกินไปหรือกล่องผักมันหนักเกินจะยกไหว กล่องผักที่เรียงสูงท่วมหัวเลยพร้อมใจกันจะถล่มทับเขาเข้าให้
เดนเซลหลับตาปี๋ รู้ว่างานนี้ต้องเจ็บตัวแน่.....
เอ...ทำไมยังไม่เจ็บอีก กล่องมันน่าจะหล่นลงมาแล้วนี่
“เฮ้!” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นข้างๆ ตัว “เจ้านี่มันหนักเกินไปสำหรับนายนะ”
ลืมตาขึ้นดูก็เห็นลอซยกกล่องผักเจ้ากรรมที่กำลังจะหล่นทับเขาไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวเหมือนไม่หนักเรี่ยวกินแรงแต่อย่างใด ส่วนคลาวด์กำลังขยับกล่องผักกองอื่นๆ ที่เอียงไปเอียงมาให้เข้าที่
“ไม่เป็นไรนะ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” สองพ่อลูก...แบร์เร็ตกับมาร์ลีนประสานเสียงละล่ำละลักถามเขา จนไม่รู้ว่าจะตอบใครก่อนดี
“ไม่เป็นไร” หลังหายตกใจ...เดนเซลค่อยหาเสียงตัวเองเจอแล้วชี้ไปที่กล่องผักที่ลอซยังถืออยู่ หน้ากล่องเป็นรูปผักกาด “กล่องนั้นไม่ใช่ผักกาดฮะ ผมยกผักกาด 2 กล่องได้ ร้านขายผักต้องใส่ผิดกล่องแน่ๆ”
แบร์เร็ตดึงกล่องจากมือลอซมาเปิดออกดูแล้วแยกเขี้ยวใส่เมื่อเห็นว่าข้างในมีผักรูปร่างยาวๆ สีส้มบรรจุอยู่เต็ม
“แครอต” มาร์ลีนว่าก่อนเดินไปเปิดกล่องที่มีรูปแครอตออกดูอีกกล่อง “ป๊ะป๋า มะเขือเทศล่ะ”
“เออ...เจ้าของร้านมันมั่วดีแท้” แบร์เร็ตชักยัวะ “แบบนี้ต้อง....จัดการ”
“ผมว่าก่อนคุณจะไป..เอ่อ...จัดการ...เราคงต้องจัดผักใส่กล่องกันใหม่ก่อนล่ะครับ แบบนี้ไม่รู้กันพอดีว่ามีอะไรเท่าไหร่” เดนเซลท้วงเบาๆ
สีหน้าแบร์เร็ตบอกชัดว่าแสนจะขัดใจ ผิดกับลอซที่ทำหน้างง
“ผักกาด? แครอต? มะเขือเทศ?”
“เป็นชื่อผักน่ะ” มาร์ลีนอธิบายแล้วส่งผักแต่ละชนิดให้ดูก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้แล้วทำหน้าเจ้าเล่ห์ “นี่...เรามาเล่นเกมจำชื่อผักกันมั้ย”
“เกมจำชื่อผัก???” ลอซยังไม่เข้าใจ
“ก่อนอื่นต้องเอาผักออกจากกล่องให้หมด แล้วค่อยก็เอาผักที่เหมือนกับรูปข้างกล่องใส่เข้าไปแทนไง” เดนเซลที่รู้ว่ามาร์ลีนคิดอะไรอยู่รีบรับมุขทันใจ “ต้องจำให้ได้ด้วยนะว่าผักชื่ออะไรบ้าง”
“สนุกนะ” แบร์เร็ตรีบโฆษณาชวนเชื่อต่อทันที “เมื่อก่อนคลาวด์ก็เล่น แพ้อีกตะหาก”
“แบร์เร็ต...” คลาวด์ที่มองแผนการ ‘หลอกใช้งานลอซ’ อยู่เงียบๆ กระแอมกระไอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลอซกระโจนลงหลุมดักไปเรียบร้อยตั้งแต่ได้ยินชื่อเขาแล้ว
.... น่าสนใจ เกมที่พี่ชายแพ้เนี่ย
“คาดาจ นายไปคนเดียวแล้วกันนะ ฉันจะอยู่เล่นที่นี่”
…………………………………….…
นอกเมืองมิดการ์...
คลาวด์อดยิ้มให้กับภาพที่เห็นเมื่อกี้ไม่ได้
เดนเซลเดินตรงไปหาลอซที่เริ่มหัวหมุนกับสารพัดสารพันผักนับสิบๆ ชนิดที่แกะออกจากกล่องออกมาวางกองข้างๆ แล้วกระซิบเบาๆ
“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณนะ” ลอซทวนคำเบาๆ แล้วกะพริบตาปริบ ตามองถุงใส่อะไรสักอย่างที่เป็นเส้นยาวๆ ขาวๆ หัวสีเหลืองๆ ในมือ “ขอบคุณนะ... ขอบคุณนะ... ผักกาด กะหล่ำ แครอต หัวหอม ฟักทอง มะเขือเทศ ผักชี แล้วก็..ขอบคุณนะ”
“ไม่ใช่” มาร์ลีนกับแบร์เร็ตหัวเราะก๊ากพร้อมกับโบกไม้โบกมือไปมา “ไอนี่...เค้าเรียกถั่วงอกต่างหาก”
“อ้าว!..” ลอซก๊งหันมามองเดนเซลด้วยสีหน้างงๆ “แล้วไอ ‘ขอบคุณนะ’ ที่นายว่ามันอันไหนล่ะ”
ตอนที่เขาขับเฟนริลออกมานั้นเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะประสานกันชุดใหญ่ก่อนที่ใครสักคนจะเลกเชอร์ความหมายของคำว่า ‘ขอบคุณ’ ให้ลอซเข้าใจ
ฉับพลันรอยยิ้มก็ชักเลือนหาย เมื่อรู้สึกถึงอีก 1 เด็กป่วนที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เขาอยู่
แม้มอเตอร์ไซค์สีดำจะแล่นตรงไปข้างหน้าด้วยระดับความเร็วคงที่ แถมทางก็โล่งโปร่งสบาย ไม่มีมอนสเตอร์เป็นฝูงตามไล่กวด ไม่มีเด็กแว้นที่ไหนขี่มอเตอร์ไซค์มาตามแซวก็จริง แต่เจ้าคนที่ซ้อนท้ายเขาอยู่นี่สิดันอยู่ไม่สุข ขยับตัวขยุกขยิกยุกยิกอยู่ตลอดเวลาเหมือนจะฝึกเล่นกายกรรมบนหลังมอตอร์ไซค์ยังไงยังงั้นแหละ
“นั่งดีๆ เดี๋ยวก็หล่นลงไปหรอก” พอชักทนไม่ไหวขึ้นมา คลาวด์ก็หันไปดุเอามั่ง
“ไม่หล่น” คาดาจที่ตอนนี้อยู่ในท่าคุกเข่าลงบนเบาะแล้วยืดตัวขึ้นให้สายลมเย็นตีเข้าหน้าและพัดเส้นผมจนปลิวกระจายยืนยันมั่นคงแล้วยื่นตะกร้าผลไม้เปลือกบาง ราคาแพงลิบ ที่เป็น ‘ของ’ ที่พวกเขาต้องเอาไปส่งที่เมืองใกล้ๆ ให้ดู
“ไม่ใช่ของ นายน่ะแหละจะหล่นลงไป ซ้อนท้ายมันไม่เหมือนขับเองหรอกนะ... นั่งให้มันดีๆ จับให้แน่นๆ ด้วย ข้างหน้าจะเป็นทางชันแล้ว”
ดูท่าหัวหน้าแก๊งเด็กป่วนจะขัดอกขัดใจอยู่ไม่น้อย แต่เพราะดันสัญญาไว้ว่าจะเป็น ‘เด็กดี’ เลยต้องยอมทำตามคำสั่งอย่างเสียไม่ได้ อึดใจต่อมาคลาวด์ก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกเบาๆ ก่อนที่น้ำหนักตัวบางส่วนของคนที่อยู่ข้างหลังจะเบียดเข้าหา ลมหายใจอุ่นๆ จากใบหน้าที่ซบลงมาที่บ่าด้านหลัง และมือเล็กที่ไม่มีถุงมือหนังห่อหุ้มอย่างเคยเอื้อมมาเกาะเอวเขาไว้
เส้นทางตอนนี้เป็นที่ลาดภูเขาที่ทั้งชันและขรุขระไปด้วยก้อนหิน กรวด ทรายมากมาย แถมท้ายด้วยสายลมที่กระโชกรุนแรงทำให้มอเตอร์ไซค์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสั่นสะเทือนไปหมดทั้งคันจนคนที่อยู่ข้างหลังต้องเบียดเข้ามาจนติด จากมือที่เกาะเอวไว้หลวมๆ ก็เปลี่ยนเป็นใช้ทั้งแขนโอบกอดคนที่อยู่ข้างหน้าไว้แน่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคลาวด์ก็ยังไม่วายห่วงเพราะเจ้าตะกร้าผลไม้ที่คาดาจต้องคอยประคองไว้อาจทำให้เด็กหนุ่มทรงตัวไม่ค่อยถนัด ในที่สุดก็ลดมือข้างนึงลงไปยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้อีกทีให้แน่ใจว่าจะไม่พลาดตกลงไปเจ็บตัว
สักพักใหญ่ๆ เส้นทางหฤโหดก็ค่อยๆ เรียบขึ้นๆ จนตัดเข้าสู่พื้นราบอีกครั้ง และในไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ก็ค่อยๆ ผ่อนช้าลงๆ จนมาเงียบสนิทที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
พอเสียงกดกริ่งดังขึ้น สักพักคุณยายท่าทางใจดีก็แง้มประตูออกมารับตะกร้าผลไม้กับแผ่น DVD ที่ทิฟ่าฝากมาคืน ขณะเซ็นชื่อลงในใบรับของ นัยน์ตาของหญิงชราเอาแต่มองเขากับคาดาจสลับไปสลับมา จนคลาวด์ชักเริ่มใจเสีย
.... วีรกรรมที่ ‘เจ้าหมอนี่’ เคยทำไว้น่ะน้อยอยู่เมื่อไหร่ ใครจำได้เข้ารับรองเป็นเรื่อง ยังไงซะก็รีบๆ ส่งของให้เสร็จๆ แล้วรีบชิ่งกลับเลยดีกว่า
แต่จนแล้วจนรอดหญิงชราก็ไม่พูดว่าอะไร พอเซ็นชื่อเสร็จก็ส่งใบรับของคืนให้ก่อนขอตัวกลับเข้าบ้าน
คลาวด์ถอนใจเฮือกพลางก้าวขาออกเดินก่อนโบกมือเรียกคาดาจที่ไปหยุดยืนมองแปลงดอกไม้เล็กๆ ของบ้านข้างๆ ให้เร่งฝีเท้าตามมาแล้วจึงเลี้ยวไปอีกทาง ...ถัดจากบ้านหญิงชรา เลี้ยวขวา แล้วเดินตรงไปอีกนิดก็จะถึงย่านซื้อ-ขายสินค้าที่ชาวบ้านพากันมาจับจ่ายซื้อของกันอยู่
แค่เดินเข้าไปในร้านขายหนังสือ ยังไม่ทันได้มองหาเล่มที่ทิฟ่ากับวินเซนต์ฝากซื้อ เสียงดังราวฟ้าผ่าของพ่อค้าร้านขายไอเท็มที่อยู่ข้างๆ กันก็ดังขึ้น
“คลาวด์คุง”
มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ฟาดผัวะลงมากลางหลังจนคนถูกเรียกชื่อที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวแทบหน้าคะมำลงไปบนกองหนังสือพิมพ์ตรงหน้า เท่านั้นยังไม่หนำใจ..เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นได้ยินกันไปสามร้านแปดร้านจึงยังดังต่อไปอีก
“เมื่อกี้มีสายด่วนโทรมาเม้าท์ว่า มาส่งของคราวนี้ไม่มามือเปล่า เอากิ๊กมาด้วยแถมสวยอีกตะหาก ไหนๆ คนไหน”
“ผมไม่ได้.....” คนถูกแซวหน้าขึ้นสีเรื่อๆ ขณะพยายามจะอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิดที่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจฟังในเมื่อชาวบ้านร้านตลาดแถวนั้นต่างหยุดทุกกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วพุ่งโฟกัสมาที่เขาเป็นตาเดียว ที่แย่ที่สุดคือดันมีคนตาไวเห็นคนที่มากับเขาเข้าน่ะสิ
“ใช่นังหนูผมเงิน ชุดดำที่ยืนอยู่หน้าร้านขายดอกไม้นั่นรึเปล่า” คุณลุงเจ้าของร้านขายมาเทเรียชี้ปั่บเข้าให้ “หน้าตาน่ารักดีนี่”
“มะ...ไม่ใช่....”
สถานการณ์เริ่มส่อแววเลวร้ายจนคลาวด์รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมากะทันหัน
“อืมมม จะว่าไปนายก็ตาแหลมใช่ย่อย ไปเจอเข้าที่ไหนล่ะ” พี่สาวเจ้าของร้านเครื่องประดับที่แม้เป็น ‘ทิฟ่าแฟนคลับ’ ตัวยงยังยอมรับ ‘กิ๊ก’ คนนี้ของคลาวด์
“คือ.....เอ่อ......”
“ไม่ต้องเขินน่า” ลุงขายไอเท็มส่งเสียงหัวเราะสะท้านโลกาอีกครั้งอย่างชอบอกชอบใจ “ไม่มีใครแอบไปบอกทิฟ่าหรอก”
“ผมกับทิฟ่าไม่ได้........”
“พี่ชาย...”
ราวกับมี “เทพแห่งโชคร้าย” เป็นผู้คุ้มครองชะตาชีวิต คลาวด์ที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับเรื่องเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นแทบอยากกัดลิ้นไม่ก็กลั้นใจตายไปให้มันรู้แล้วรู้รอด ในเมื่อจู่ๆ คาดาจก็เดินแหวกฝูงชนที่รุมล้อมเข้ามายืนติดหนึบอยู่ข้างๆ เขาด้วยใบหน้าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น
“พี่ชาย...เรากลับบ้านกันได้รึยัง”
แน่นอนว่า ‘เป้าหมาย’ ของประชาชีที่มุงดูอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเปลี่ยนจาก ‘คลาวด์’ ไปเป็น ‘คาดาจ’ อย่างช่วยไม่ได้
“บ้านอยู่ไหนล่ะ นังหนู” ลุงเจ้าของร้านขายหนังสือเริ่มเปิดประเด็นก่อนเป็นคนแรก
“แม้จะขัดหูตะหงิดๆกับคำว่า ‘นังหนู’ ที่ถูกเรียก แต่คาดาจก็เลือกที่จะเฉยไว้ก่อนชี้ไปที่คนข้างตัว “อยู่บ้านพี่ชาย”
คำตอบนั้นเรียกเสียงฮือฮาได้จากศรัทธามหาชน...ก็จะมีสักกี่คนกันล่ะที่พากิ๊กเข้าไปอยู่ในบ้านด้วยได้
“แล้วไม่ทะเลาะ ตบตี มีปัญหา (กับทิฟ่า) เรอะ”
“สัญญากับพี่ชายไว้แล้วว่าจะเป็น ‘เด็กดี’”
“เสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังขึ้นอีกระลอกก่อนที่คำถามหวังดีแต่ประสงค์ร้ายจะตามมาติดๆ
“แล้วเวลานอน นอนห้องเดียวกับทิฟ่าหรือมาร์ลีนล่ะ”
คลาวด์ใจหายวาบก่อนจะรีบกระตุกแขนห้ามคนข้างตัวไม่ให้ตอบ แต่...มันสายเสียแล้ว
“นอนห้องตัวเอง แต่เมื่อคืนไปนอนห้องพี่ชาย”
คราวนี้เสียงที่เคยดังสนั่นพลันเงียบกริบ แต่ละคนอ้าปากช็อกค้างกลางอากาศกับคำพูดที่แสนจะจริงจัง จริงใจ ชวนให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดาที่ป่าวประกาศออกมาให้โลกรู้หนักขึ้น จนในที่สุดคลาวด์ก็ทนไม่ไหวรีบตะครุบตัวเจ้าคนก่อปัญหาแล้วกึ่งลากกึ่งอุ้มพาออกมาจากฝูงชนที่รุมล้อมทันทีพร้อมทั้งลงทุนสบถสาบานอยู่ในใจว่า...รอไว้ชาติหน้าตอนบ่ายแก่ๆ นั่นแหละ เขาถึงจะยอมมาส่งของที่เมืองนี้อีกรอบ
.... โอ้แม่เจ้า! ความคิดที่ว่า..น่าจะทิ้งเจ้านี่ไว้ที่เครเตอร์แล้วเชิญถล่มโลกเอาตามชอบใจแลกกับการที่เขาไม่ต้องมาเจอกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้ ความจริงก็ไม่ได้ดูเลวร้ายเท่าไหร่
...................................................
อีกไม่กี่ก้าวก่อนจะถึงเฟนริล คาดาจที่ยอมให้คลาวด์อุ้มมาดีๆ ตลอดทางก็ขืนตัวออกก่อนจะสะบัดร่างตรงเข้าไปหามอเตอร์ไซด์สีดำแล้วชิงก้าวขึ้นไปจองที่นั่ง ‘คนขับ’ ซะก่อน
“ลงไป” คลาวด์ขมวดคิ้วไล่
“เปลี่ยนกันขับน่า” คาดาจออกอาการเอาแต่ใจตามเคย “อยากลองขับมั่งน่ะ”
ไม่พูดเปล่ายังเอามือล้วงเข้าไปหยิบกุญแจในกระเป๋าเสื้อคลาวด์มาสตาร์ทเครื่อง เป็นการแย่ง ‘มอเตอร์ไซค์’ จาก ‘เจ้าของ’ อย่างสมบูรณ์ แถมยังมีหน้ามาเร่งอีกแน่ะ
“พี่ชายน่ะ ขึ้นมาเร็วๆ สิ”
.... ให้ตาย...มันน่าทิ้งเจ้านี่ไว้ที่เครเตอร์จริงๆ ด้วย
ลงท้ายคลาวด์ก็ต้องยอมตามใจอีกจนได้ด้วยการขยับตัวขึ้นนั่งซ้อนท้ายแต่โดยดี
“ค่อยๆ ขับนะ ช้าๆ ด้วย”
ตอนยังอยู่ในเขตเมือง คาดาจก็ขับช้าดีอยู่หรอก แต่พอพ้นออกมาแล้วนี่สิ...เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์กับเสียงยางล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณแข่งกับเสียงหัวเราะถูกใจสุดๆ ของเด็กหนุ่ม จากนั้นความเร็วก็ถูกเร่งสปีดขึ้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...ชนิดที่ว่า..วิวสองข้างทางเป็นแค่อะไรสีขาวๆ ที่เคลื่อนไหววูบวาบผ่านไปเท่านั้น ยิ่งในเขตภูเขาก็ยังไม่ลดความเร็วลง แถมยังขับไถลลงมาตามทางที่ลาดชันอย่างน่าหวาดเสียว หากพลาดเพียงนิดเดียวทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งคนก็อาจพลิกคว่ำร่วงลงมาเหลือแต่ซากเอาง่ายๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นใบหน้าของเด็กหนุ่มผมเงินที่บังคับมอเตอร์ไซค์อยู่ไม่แสดงอาการกังวลเลยสักนิดต่อเส้นทางวิบากมหาโหดที่กำลังเผชิญหน้า นัยน์ตาสีเขียวแฝงประกายเจโนว่าทอแสงสนุกสนานยิ่งนักยามทวีความเร็วยิ่งขึ้น สงสารก็แต่คลาวด์ที่ทรงตัวแทบไม่อยู่จนต้องโอบคนข้างหน้าไว้เป็นหลักยึด
“ระวัง ขับให้มันดีๆ หน่อย ได้ยินมั้ย” คลาวด์หลับตาปี๋ตะโกนลั่น หัวใจเหมือนจะกระเด็นหลุดออกมาเต้นนอกอก
“จับให้แน่นๆ นะพี่ชาย” เจ้าตัวร้ายแกล้งทำหูทวนลม ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างพอใจเต็มที่เมื่อรู้สึกถึงแรงกอดกระชับแนบแน่นจากด้านหลัง
... ขามาเขาได้กอดพี่ชายแล้ว ขากลับนี่เขาอยากให้พี่ชายกอดมั่งนี่นา
ไม่ว่าจะขับออกนอกเส้นทางก็แล้ว วนก็แล้ว อ้อมก็แล้ว แต่ในที่สุดเฟนริลก็มาจอดหน้าบาร์ 7th heaven จนได้
คาดาจดับเครื่องแล้วก้าวลงมายืนก่อนอย่างมีความสุขสุดๆ พลางหันไปส่งยิ้มด้วยใบหน้าที่พยายามทำให้ดูซื่อ ใส ไร้เดียงสาที่สุดเท่าที่จะทำได้ขณะคืนกุญแจรถให้คลาวด์ที่พอก้าวลงจากรถได้ก็ถึงกับเซ...
.... ท่าทางพี่ชายจะโกรธอยู่พอตัว แต่อย่างที่รู้ๆ กันอยู่...
.... พี่ชายน่ะ โกรธใครนานๆ เป็นซะที่ไหนล่ะ!
…………………………………….…
ตอนนี้ทุกคนใน บาร์ 7th heaven เข้าประจำที่บนโต๊ะอาหารกันหมดแล้ว....ยกเว้นก็แต่....
“ยาซู” ลอซตะโกนเรียกเสียงลั่นๆ “มากินเร็วๆ เข้าเหอะ”
“หึ” คนถูกเรียกทำเสียงในลำคอเหมือนที่เคยทำบ่อยๆ แต่ตายังจ้องอยู่ที่จอทีวี มือก็ยังกดจอยสติ๊กไม่เลิก
.... ไม่เข้าใจ ทำไมถึงยังเอาชนะไม่ได้สักที ทั้งๆ ที่ตอนแรกที่ดวลกันยังพอสูสีอยู่เลย แต่พอถึงเลเวลสูงๆ คู่แข่งที่มีชั่วโมงบินสูงกว่ากลับเฉือนเอาชนะไปได้แถมนำอยู่ตั้ง 3 สเตจแน่ะ
“มากินก่อนแล้วค่อยไปเล่นต่อน่า ทีวีมันไม่หนีไปไหนหรอก” แบร์เร็ตโวยวายเพราะหิวเต็มที “ฉันสัญญาว่าจะไม่แย่งนายดูทีวีหลังกินเสร็จ โอเคมะ”
“อือ”
“มากินข้าวก่อนแล้วพักสายตาสักครู่ค่อยไปเล่นใหม่ ถ้าไม่มีสมาธิ..ฝืนเล่นไปก็เท่านั้น” วินเซนต์ให้คำแนะนำดีๆ คล้ายผู้ใหญ่ปราณีเด็ก... แม้ว่าความหอมหวานของชัยชนะที่ได้รับจะยังแล่นเป็นริ้วๆ อยู่ในกระแสเลือดก็ตาม
.... ฝีมือกับความแม่นยำของเจ้าเด็ก ‘หน้าสวย ตัวแสบ’ นั่นน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขา เสียแต่ใจร้อนไปหน่อยเลยไม่ทันคิดวางแผนให้รอบคอบก่อน
“เหอะ คนชนะก็พูดได้สิ”
“ยาซู” คาดาจเริ่มทำเสียงเย็นเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นหัวหน้าแก๊งคอยคุมลูกทีม “มาเร็วเข้า”
‘...ไม่สน...’
ลงท้ายคลาวด์ที่ทนดูอยู่นานก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นไป ‘จัดการ’ ซะเอง
“จะนับ 1 ถึง 3 นะ”
“1”
‘...เงียบ...’
“2”
‘...เฉย...’
“...3.................”
“โอ๊ย! พี่ชาย~~~”
ทุกคนในห้องตาโตเป็นไข่โจโคโบะยักษ์แฝดเมื่อเห็นคลาวด์เล่นบทโหดด้วยการดึงจอยสติ๊กจากมือยาซูออกมาถือไว้เองแล้วเงื้ออีกมือขึ้นฟาดผัวะ...ผัวะ...ผัวะลงไปแถวสะโพกกับต้นขาอีกฝ่ายชนิดไม่นับ เล่นเอายาซูเผ่นแผล็วกระโดดวูบเดียวมานั่งเบียดตรงกลางระหว่างคาดาจกับลอซที่ยังไม่หายตกตะลึงแทบไม่ทัน
.... ที่ถูกตีน่ะไม่เจ็บหรอก แรงที่ฝ่ามือกระทบผิวเนื้อบอกชัดว่าพี่ชายยั้งมือ แต่มันอายมากกว่า
ยาซูสะบัดหน้างอนๆ ใส่คลาวด์นิดนึงก่อนกวาดสายตาไปตามจานเล็กจานน้อยที่วางเต็มโต๊ะอาหาร เมื่อวานเป็นของกินหน้าตาแปลกๆ ที่ดูยังไงก็ไม่สามารถแยกธาตุออกมาได้ว่าทำมาจากอะไรทีนึงแล้ว มาวันนี้กลับมีแต่วัตถุดิบเป็นชิ้นๆ เยอะแยะไปหมด หันไปมองคาดาจ รายนั้นก็เอาแท่งไม้กลมๆ มาจิ้มๆ ชิ้นเนื้อดิบสไลด์บางเฉียบในจานข้างๆ สลับกับมองถ้วยใส่ข้าวตรงหน้าตัวเองไปมา ดูท่าแล้วคงจะกินไม่เป็นเหมือนกัน
“ผักกาด กะหล่ำ แครอท เห็ด ต้นหอม” ลอซชี้ไปตามแต่ละจาน จำได้แม่นเพราะเกมที่เล่นไปเมื่อตอนกลางวัน
“เก่งจัง จำได้หมดเลย” มาร์ลีนชมขณะรอให้เตาย่างเนื้อร้อน “เนอะ คลาวด์เนอะ”
เสียงหัวเราะดังขึ้น มีแต่คนจำชื่อผักไม่ค่อยได้ที่โดนแซวมาตั้งแต่เช้าทำหน้ามุ่ย
“มันกินยังไงน่ะ” ในที่สุดคาดาจก็ยอมแพ้ “กินไอที่ลอซว่ากับข้าวเหรอ”
“ไม่ได้” เสียงแบร์เร็ตดังมาจากอีกฝากโต๊ะ “ต้องทำให้มันสุกก่อน เฮ้ย! คลาวด์ หัดดูแลเด็กของนายมั่งเด้ ทีฉันยังย่างเนื้อให้มาร์ลีน ทิฟ่าก็ยังย่างให้เดนเซลเลย”
คลาวด์หันไปถลึงตาใส่พ่อหมียักษ์ทีนึงโทษฐานใช้คำศัพท์ชวนเข้าใจผิด แต่พอหันกลับมาเจอนัยน์ตาสีเขียว 3 คู่ที่จ้องเป๋งมาก็.....
“ทำแบบนี้นะ” คลาวด์กระแอมกระไอดับเขินก่อนจะสาธิตวิธีกินหมูย่างกระทะที่ถูกต้อง “เอาเนื้อวางบนเตา รอให้สุกก่อนแล้วค่อยคีบขึ้นมา ส่วนผักจะย่างบนเตาหรือจะใส่ลงไปลวกในหม้อซุปก็ได้”
พูดจบหมู 3 ชิ้นกับผักลวกฝีมือคลาวด์ก็ลอยมาอยู่ในจานของแต่ละคน กลิ่นหอมของเนื้อที่ย่างสุกใหม่ๆ กับน้ำจิ้มที่ราดลงมาน่ะทำให้คนไม่เคยกินตาโตเป็นประกายได้เลย
ได้ของที่กินได้แล้วก็จริง แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด...ก็ไอไม้กลมๆ นี่น่ะสิ ทำยังไงหมูกับข้าวก็ไม่ยอมติดขึ้นมาสักที
“ใช้ช้อนดีกว่ามั้ย” วินเซนต์นี่นั่งข้างๆ คลาวด์แนะนำเบาๆ “ถ้าให้ใช้ตะเกียบคงไม่ได้กินซะที ถ้าโมโหหิวมากๆ จนล้มโต๊ะขึ้นมา พวกเราจะอดกินกันหมด”
รอจนวินเซนต์ไปหยิบช้อนมาส่งให้ก็พอดีกับที่คลาวด์คีบเนื้อหมูที่ย่างสุกแล้วออกจากกระทะ
“อร่อย” พอตักหมูย่างคำแรกเข้าปาก คาดาจก็ทำหน้าแบบว่า...พอใจสุดๆ
“เยี่ยมเลย” ลอซทำหน้าเคลิ้ม ส่วนยาซูพยักหน้าพลางเคี้ยวตุ้ยๆ
คลาวด์ยิ้มขำแล้วย่างเนื้อกับลวกผักไว้ให้อีกเกือบพูนจาน
แต่แล้วอีกไม่กี่วินาทีต่อมาจานเปล่า 3 ใบก็ถูกยื่นออกมาตรงหน้า
“พี่ชาย...”
เล่นเอาคลาวด์ที่ยังย่างเนื้อของตัวเองไม่ทันสุกกระพริบตาปริบ จนวินเซนต์อดสงสารไม่ได้เลยต้องคีบหมูย่างในจานตัวเองส่งไปให้
“กินซะคุณพี่ อย่างนายน่ะย่างเนื้อไม่ทันเด็ก 3 คนนั่นกินหรอก”
แต่พอกินเสร็จ เก็บโต๊ะ ล้างถ้วยล้างชามเรียบร้อย ทุกคนก็ได้อึ้งกันอีกรอบ
“พี่ชาย~~~” ยาซูแทบเต้นแต่ไม่กล้าออกฤทธิ์ เมื่อเห็นคลาวด์มาเก็บเครื่องเล่นกับจอยสติ๊กออกจากทีวี
“วันนี้เล่นพอแล้ว อย่าดื้อนะ” คลาวด์ขู่ฟ่อก่อนส่งอุปกรณ์การเล่นคืนให้วินเซนต์ “ห้ามให้ยาซูเล่นแล้วนะ ถ้านายจะเล่นก็ไปเล่นที่ห้องนาย”
“ให้เด็กเล่นเกมมากๆ ไม่ดี” วินเซนต์พยักหน้ารับ แต่พอคลาวด์หันหลังไป วินเซนต์ก็โบกตลับเกมใหม่ 2-3 เกมที่เมื่อวานเพิ่งได้มาจากซิดไปมา ยั่วน้ำลายเจ้าเด็ก ‘หน้าสวย ตัวแสบ’ คู่ปรับคนใหม่ให้เจ็บใจเล่นก่อนเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ พลางหัวเราะเบาๆ ให้กับตลับเกมในมือ ซิดบอกว่าเป็นระบบซิมูเลเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่คนเล่นสามารถสร้างสิ่งที่ต้องการใช้เป็นเป้ายิงได้ตามใจชอบ ถ้าชวนเจ้าเด็กนั่นเล่นพรุ่งนี้ มั่นใจได้เลยว่าเป้ายิงของอีกฝ่ายคงหน้าตาเหมือน ‘เขา’ ไม่ผิดเพี้ยน
.... แกล้งเด็กนี่สนุกชะมัด ว่าแต่...เขาจะถูกพระเจ้าลงโทษเอามั้ยนี่
……………
“เสียงประตูห้องเปิดออกช้าๆ แม้จะพยายามให้เงียบที่สุด เบาที่สุด แต่คนในห้องก็รู้สึกตัวตื่นจนได้ เมื่อเหลือบมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็พบว่าเพิ่งจะเลยเที่ยงคืนไปไม่นาน
“ใครน่ะ”
ท่ามกลางความง่วงงุน คลาวด์เลื่อนตัวขึ้นพิงหัวเตียงก่อนพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด เงาร่างนั้นยังยืนนิ่งอยู่บริเวณประตูห้อง ภายใต้เงาจันทร์ที่บดบังจนเขามองไม่เห็นใบหน้าอีกฝ่าย ทว่าเส้นผมสีเงินยาวเป็นประกายถึงกลางหลังและชุดนอนสีเหลืองก็ทำให้รู้ว่าเจ้าของร่างเป็นใคร
“ยาซู”
เขาเรียกออกไปและอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ
ท่าทางของเด็กหนุ่มตอนนี้อดทำให้นึกถึงตัวเองสมัยยังเด็กไม่ได้
… ไม่มั่นใจ เก็บความรู้สึก เก็บความอัดอั้นตันใจทั้งหมดเอาไว้คนเดียว ที่สำคัญ...เหงา
... ต่างกันที่เด็กคนนี้พยายามที่จะเข้มแข็งเมื่ออยู่ในกลุ่ม ต่างกับเขาที่ปล่อยเลยตามเลย
จะว่าไปเรื่องเมื่อตอนเย็นก็ทำให้รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“มานี่มา” คลาวด์ขยับออกไปข้างๆ จนเกือบชิดขอบเตียงแล้ววางมือลงบนที่ว่างอีกครึ่งหนึ่งเป็นเชิงอนุญาต
ชั่วอึดใจใหญ่ๆ ยาซูก็เดินออกจากเงามืดและก้าวเข้ามาภายใต้แสงจันทร์ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างที่เขาบอก
ก่อนที่คลาวด์จะทันได้พูดอะไร ยาซูก็เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน
“พี่ชายโกรธรึเปล่า”
“หือ?”
“เรื่องเมื่อตอนเย็นน่ะ คือ...คือ....”
สีหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยหลายความรู้สึกที่ปนเปกันไม่ว่าจะเป็นความสำนึกผิด ความโกรธ ความถือดี ที่กดดันเจ้าตัวจนหายใจแทบไม่ออก
“ไม่โกรธหรอก” คลาวด์ยิ้มบางๆ ให้อย่างเข้าใจดีพลางยื่นมือไปตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลอบใจ “ฉันต่างหากที่ควรถามว่านายโกรธมั้ย”
ยาซูสะบัดผมไปด้านหลังแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ที่ถูกตีล่ะ เจ็บรึเปล่า”
“ไม่”
“โอเค งั้นถือว่าเราผิดกันคนละครึ่ง แล้วก็แล้วกันไป ไม่ต้องมีใครขอโทษ ตกลงมั้ย”
ใบหน้าที่อยู่ใต้แสงจันทร์ค่อยสดชื่นขึ้นทันตาเห็นก่อนถามต่ออีกว่า
“นอนที่นี่..นะ”
.... นั่นไง พอสบายใจเข้าก็เริ่มดื้อเอาแต่ใจเหมือนเดิม
“ถ้าบอกให้กลับไปนอนที่ห้องล่ะ”
“ไม่ไป”
“แล้วจะถามทำไม” คลาวด์หัวเราะแล้วขยับตัวลงนอนตามเดิม “อยากนอนก็นอน”
ยัง...ยังมีอะไรสักอย่างขาดหายไป นัยน์ตาสีเขียวของยาซูที่เอนตัวลงหนุนหมอนยังจ้องมองมาที่เขาและรอคอยสิ่งนั้น
ทีแรกคลาวด์ไม่เข้าใจ จนรอยตัดพ้อแกมน้อยใจปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้นนั่นล่ะ...ค่อยนึกขึ้นได้
เมื่อเช้าทิฟ่าฝากแผ่นดีวีดีเรื่อง ‘Beloved mother’ ที่เมื่อคืนวานเปิดให้มาร์ลีนกับเดนเซลดูแล้วไปคืนเจ้าของ เขาเลยถึงบางอ้อกับพฤติกรรมของคาดาจเมื่อคืน แต่คาดาจกับยาซูไม่เหมือนกัน คนนึงเป็นหัวหน้าที่ลงมือทำตามที่ใจคิดได้ทันที แต่อีกคนเป็นฝ่ายสนับสนุนชั้นยอดที่ทำตามคำสั่งชนิดไม่ขาดตกบกพร่อง พฤติกรรมที่แสดงออกของทั้ง 2 คนเลยต่างกัน
คลาวด์พลิกตัวขึ้นก่อนกดปลายจมูกลงบนหน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา…ก่อนกระซิบคำ “ราตรีสวัสดิ์”
“แค่นี้พอนะ” คนเพิ่งได้รับตำแหน่ง ‘beloved brother’ ทำหน้ามุ่ย “ถ้าจะให้ร้องเพลงกล่อมด้วย นายจะฝันร้ายเอา”
ยาซูแย้มรอยยิ้มบางเจือด้วยรอยหัวเราะออกมาขณะขยับตัวกระชับผ้าห่มให้ตนอุ่นสบายแล้วหลับตาลง
.... นี่สินะ ที่เขาเรียกว่า ‘ความสุข’