Author : jes
Pairing : LL (มั้งนะ)
ระดับ : ปลอดภัยไร้กังวล
Disclaimer : ตัวละครทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของคุณ rabbit ค่ะ
-----------------------------------------------------------------------
ปราสาทแห่งภูติพราย.....
ปราสาทแห่งเวทมนตร์ที่หลับใหลอยู่กลางแอ่งน้ำวนลึกลงไปใต้ทะเลสาบ.........
ปราสาทที่จะปรากฏตัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำเพียงครั้งเดียวในรอบ 200 ปี
ซึ่งก็คือ......
คืนนี้!!!!
....................................................
เกาะเล็กๆทางตะวันตก....แกรนด์ไลน์
ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทะเลสาบสีมรกต...ยามเย็น...ที่ท้องฟ้าและผืนน้ำอาบไปด้วยแสงสีส้มอ่อนปนประกายสีทองของดวงอาทิตย์ที่ลอยต่ำ
รัตติกาลกำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า.........
ลูคัส ซาโดเรียนั่งหลังพิงต้นไม้พลางยืดแข้งเหยียดขาออกไปตามสบาย ใกล้ๆกันเป็นหนูน้อยลอเรนซ์ที่นอนขดตัวกลมเป็นลูกแมวหลับสบายอยู่ข้างๆ
.....ตั้งแต่มาถึงเกาะกลางทะเลนี้เมื่อ 3 วันก่อน คู่หูต่างวัยก็ต้องเปลี่ยนนิสัยกลายเป็นคน ‘นอนเที่ยงคืนตื่นเที่ยงวัน’ กันทั้งคู่เพราะไม่อยากพลาดโอกาสดีที่ 200 ปีจะมีสักหน แต่การไม่ได้ทำอะไรเอาแต่จดๆจ้องๆนั่งมองผิวน้ำไปเรื่อยๆอย่างนี้..วันแรกๆก็พอทนไหวอยู่หรอก แต่นานหลายวันเข้ามันก็ทั้งเบื่อทั้งเซ็งอย่างบอกไม่ถูก
สุดท้าย....เด็กน้อยที่สะลึมสะลือเต็มที่ก็หาทางออกด้วยการ ‘ตัดช่องน้อยแต่พอตัว’
.....ขอนอนหน่อย ไว้ปราสาทลอยขึ้นมา ลูคัสอย่าลืมปลุกนะ ห้ามลืมนะ
ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างให้นิดหน่อยเป็นการเอาใจก่อนค่อยเอนตัวลงนอน พอคว้าเอาเสื้อคลุมตัวโตแถวๆนั้นมาใช้ต่างหมอนได้ลอเรนซ์ก็เดินทางเข้าสู่โลกแห่งความฝันอย่างไม่รอช้า ทิ้งให้ ‘นาฬิกาปลุก’ ที่นั่งอยู่ข้างๆคอยสังเกตเหตุการณ์รอบตัวไปคนเดียว แล้วอย่างลูคัสจะทำยังไงได้นอกจากบ่นหงุงหงิงในใจไปตามเรื่อง
.....โหย ใจร้ายนะเนี่ย ลอรี่ใจร้ายอ่ะ ใจร้ายมากๆเลย (แต่ถึงใจร้ายขนาดไหนก็ยังน่ารักสำหรับลูคัสอยู่ดีน่ะแหละ)
หลังจากที่แอบหาวจนน้ำตาไหลไปหลายครั้ง อีกเดี๋ยวเจ้าภูติฟินเซลที่ไปตรวจสอบตำแหน่งของปราสาทก็กลับมาพอดี
ขณะนี้บรรยากาศรอบตัวเริ่มสลัวๆ
“ตอนอยู่ทริสทอร์ ฉันก็เคยได้ยินตำนานเรื่องนี้มาบ้างเหมือนกันนะฟินซี่ แต่ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องจริง” ลูคัสเริ่มชวนคุยแก้ง่วง นัยน์ตาสีเข้มมองไล่ไปตามผืนน้ำกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแถมเรียบกริบราวแผ่นกระจกตรงหน้าด้วยความข้องใจ
“ตกลงตรงนี้เป็นตำแหน่งที่ปราสาทจะปรากฏขึ้นมาแน่ใช่มั้ย”
“ชัวร์” ฟินเซลพยักหน้ามั่นอกมั่นใจ “ตอนข้าเข้าไปสำรวจเมื่อกี๊..น้ำเริ่มเปลี่ยนทิศทางแล้ว”
นั่นสิ...
สักพักกระแสน้ำก็ไหลแรงขึ้นเรื่อยๆ..แรงขึ้น..แรงขึ้น..แรงขึ้น...จนเชี่ยวกรากพร้อมกับความมืดสีดำสนิทที่โรยตัวลงมาปกคลุมเต็มที่.....
“ตื่นๆ ตื่นเร็ว” ‘นาฬิกาปลุก’ ได้ฤกษ์ทำงานตามที่ตั้งโปรแกรมไว้ แต่ไม่ว่าจะสะกิดหรือเขย่า เด็กน้อยที่กำลังหลับสบายก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมลืมตาขึ้นง่ายๆ
“5 นาที อีก 5 นาทีนะ นะ นะ”
“ไม่เอาน่า อย่างอแงสิ” ลูคัสประคองลอเรนซ์ให้ลุกขึ้นนั่งแต่หนูน้อยกลับพลิกตัวโดยอัตโนมัติก่อนจะยกแขนขึ้นกอดคอคนปลุกไว้แล้วซุกใบหน้าเล็กๆลงกับหัวไหล่.....หลับต่อไปอย่างไม่สนใจ
ลูคัสกระพริบตาปริบ พูดอะไรไม่ออก
....เด็กชายตัวเล็กจ้อยคนนี้...คนเดียวกับ.... ‘ลอรี่’ ที่เขารู้จัก
กรรม...รู้ทั้งรู้ว่าเด็กที่ถูกปลุกให้ตื่นจะอารมณ์บูดขนาดไหน แต่เมื่อไม่มีทางเลือก...ลงท้ายก็ต้องงัดเอามุขเด็ดที่ใช้ได้ผลเป็นประจำออกมาตามเคย ไม่ต้องมาก...แค่กระซิบข้างหูเบาๆเท่านั้นแหละ
“ลอรี่”
“ห้ามเรียกชื่อนี้นะ” เด็กน้อยสวนกลับทันควันเหมือนทุกทีก่อนจะชะงักเมื่อเห็นแอ่งน้ำวนขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า
“รอก่อน อย่าเพิ่งเข้าไป” เสียงฟินเซลดังขึ้น แต่ฟังคล้ายๆเจ้าตัวกำลังสำลักน้ำยังไงชอบกล
อีกอึดใจใหญ่ๆ ม่านน้ำวนก็จางหายไปเมื่อถูกแสงจันทร์สีเงินยวงส่องสว่างลงมากระทบเต็มที่.... ปราสาทแห่งภูติพรายในตำนานก็พลันปรากฏสู่สายตา
แค่แวบแรกที่เห็น....
“สวยนะ หรูหราดีชะมัด แต่จมอยู่ใต้น้ำตั้งนานไม่ยักมีตะไคร่ขึ้น” น่านนนน...ตลกร้ายแบบลูคัส แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากลอเรนซ์ได้
“นั่นสิ หลังเบ้อเริ่มเลย แล้วลอยขึ้นมาได้ยังไง ไม่หนักเหรอ” เด็กๆก็สงสัยแบบเด็กๆ
“อยากรู้ก็ตามข้ามา เอ้า! หน้าเดิน” คราวนี้มั่นใจได้เลยว่าคนพูดเสียงสะบัดๆแบบกัดฟันพูด หลังจากร่ายคาถาพึมพำเบาๆสักพักก็มีทางเดินเล็กๆเชื่อมต่อระหว่างชายฝั่งกับตัวปราสาท
ทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบลงไป...เสียงประกาศก็ดังก้องโดยไม่เห็นตัวคนออกเสียง
“เจ้าชายฟินเซล ดีเดีย ลาไกยู”
ตามด้วยเสียงกระซิบกระซาบจากในปราสาทอีกนับสิบๆเสียงที่พอรวมๆกันเข้าก็ดังเซ็งแซ่
“ฟินเซล เจ้าชายฟินเซลคนนั้นน่ะเหรอ”
“ก็ลูกชายคนเดียวของท่านจ้าวไง”
“ที่ถูกมนุษย์จับขังไว้ตั้งเกือบ 10 ปีใช่มะ”
“ว้าย! ตายๆๆๆๆ ใครก็ได้รีบไปบอกท่านจ้าวเร้ว..”
คำกล่าวต้อนรับอันแสนประหลาด...เล่นเอาเจ้าชายผู้จากบ้านไปนานถึงกับเซ็งหยุดโลก
ที่หน้าประตูวัง...ภูติ 2 ตนเดินออกมาต้อนรับ
....ภูติที่มีลักษณะไม่แตกต่างจากมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
“ท่านเมเนลิกให้กระหม่อมมาเชิญเสด็จเจ้าชายฟินเซลและเจ้าช...อุ๊บส์” ภูติองครักษ์ผมสีทองยาวที่กำลังกล่าวคำถวายรายงานเพลินๆสะดุ้งโหยงเพราะถูกศอกแหลมๆของเพื่อนที่มาด้วยกันกระทุ้งเข้าให้แบบไม่เบานักก่อนที่ภูติผมสีครามจะรีบชิงพูดต่อ
“เชิญเจ้าชายกับพระสหายที่ห้องรับรองก่อน...โปรดตามเราทั้งสองมา”
..............................
ห้องรับรองอ่ะจ้ะ
“ให้ตายเด้ ตลอดเวลา 10 ปี..ข้าฝันถึงบ้านทุกคืน แต่วินาทีนี้..สาบานได้ ข้าล่ะอยากวิ่งไปกอดขาเจ้าพ่อมดนั่นขอกลับเข้าไปนั่งๆนอนๆอยู่ในบ้านร้างอีกสัก 10 ปี...100 ปีเลยก็ได้ เอ้า!” เจ้าชายฟินเซลสบถเป็นชุดแบบที่เจ้าชายไหนๆเค้าไม่ทำ (ให้คนอื่นเห็น) กัน
“ท่านเป็นฝ่ายผิดเองนะ” ภูติผมสีครามขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่
....นั่นสิ ฉันก็ว่างั้น.... ลอเรนซ์ที่แบมือขอกับลูคัสที่กำลังแกะกระดาษห่อช็อกโกแลตอยู่แอบพยักหน้าเห็นด้วยในใจพร้อมกัน
“มีอย่างที่ไหนตัวเองเป็นภูติแท้ๆดันพลาดถูกมนุษย์จับได้ ข้าล่ะเสียใจจริงๆ สงสัยวิชาเวทมนตร์ที่เราสองคนช่วยกันสอนคงไม่ดีพอ เจ้าชายถึงฝีมือไม่เข้าขั้น” ภูติผมทองเริ่มอารัมภบทบ้างพลางเสแสร้งแกล้งทำหน้าตาเจ็บปวดรวดร้าวซะไม่มี
“พอๆ หยุดเลย ข้ายังไม่อยากฟังเจ้าสองคนเทศนาตอนนี้” เจ้าชายตวาดแว้ดด้วยความหงุดหงิด “อีกเดี๋ยวก็ต้องถูกท่านพ่อเฉ่งยับอยู่แล้ว เอาไว้ไปเฉ่งรวมกันตอนนั้นทีเดียว”
....ไอเดียเข้าท่า พยายามเข้านะพวก ขอให้โชคดีไม่โดนพ่อนายจับขังไว้ในปราสาทอีก 200 ปีละกัน....ลูคัสถอนใจยาวพลางคว้าถ้วยชามาจิบ
เห็นทีเจ้าชายจะยังฟ่อดแฟ่ดใส่พี่เลี้ยงให้สมกับที่คิดถึงอีกนาน ถ้า...
“ฟินเซล” ลอเรนซ์ที่เอ็นจอยอีทติ้งช็อกโกแลตเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ไม...เอาช็อกโกแลตอีกมั้ย”
“พ่อของฟิลเซลเป็นยังไงบ้าง ดุมากมั้ย ใจดีรึเปล่า” คนไม่เคยเห็นหน้าพ่อถามขึ้น
“ท่านจ้าวน่ะนะ....” สองภูติผู้แสนจะจงรักภักดีได้ทีจับมือกันตั้งท่าเตรียมพร้อมจะพรรณนาสรรพคุณอันสุดแสนจะประเสริฐเลิศเลอเพอเฟกท์ของเจ้านายแล้วเชียว เสียแต่ยังปากไวไม่เท่าลูกชายคนเดียวของท่านจ้าว
“ก็เป็นตาแก่หัวดื้อ จุกจิกจู้จี้ ขี้บ่น เรื่องก็มาก เอาใจก็ยากยังไงล่ะ”
“เรอะ....”
เสียงใครไม่รู้ดังลั่นมาก่อนให้เห็นตัว เล่นเอาลมหายใจเจ้าชายคนเดียวสะดุดกึก
......ชะอุ่ย ซวยแล้วมั้ยล่ะ.....
พอเจ้าของเสียงก้าวเข้ามาในห้อง ภูติพี่เลี้ยงก็หลบวูบ...ทิ้งฟินเซลผู้น่าสงสารให้เผชิญหน้ากับชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยว
ราชาแห่งภูติพราย...เมเนลิก ดูยังไงก็เหมือนชายวัยกลางคนที่มีเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ นัยน์ตาสีทับทิมไม่ต่างไปจากลูกชาย ผิดกันก็ตรงที่รู้สึกได้ถึงความทรงอำนาจและเปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์ชั้นสูงในแวบแรกที่เห็น
“ท่านพ่อ...เอ่อ....คือว่า...คือ...เอ่อ คือว่า...นะ” พอโดนผู้เป็นพ่อถลึงตามองด้วยสายตาขุ่นเขียวชวนให้เสียวสันหลังวาบ ลูกชายที่เมื่อกี๊ยังทำเก่งก็ถึงกับพูดไม่เป็นภาษา ลงท้ายก็....
“ฮือ ๆ ๆ ๆ พ่อจ๋า หนูผิดไปแย้ว หนูขอโต้ด พ่อยกโทษให้หนูน้า.....”
หนูน้อยลอเรนซ์มองภาพลูกชายจอมแสบที่ถลาพรวดเข้าไปกอดเอวพ่อไว้ตามด้วยการอ้อนออดๆไม่วางตา ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในใจเมื่อเห็นพ่อกอดตอบลูกชายที่ห่างหายไปนาน
....ซะงั้นอ่ะฟินเซล.... ว่าแต่.....พ่อ...เป็นแบบนี้เองเหรอ
เหมือนมีเงาของใครสักคนฉายทับร่างของราชาภูติตรงหน้า ...ไม่ใช่พวกคุณพ่อที่มหาวิหาร ไม่ใช่บรรดาอาจารย์ที่สั่งสอนวิชาต่างๆให้ แต่เป็น.....นายพ่อมดคนนั้น....คนที่ได้เจอกันนานๆครั้งแต่กลับรู้สึกว่าคอยอยู่ใกล้ๆเสมอ
แต่แล้วในนาทีต่อมาลอเรนซ์ก็มีอันสะดุ้งโหยง บรรยากาศแห่งความซาบซึ้งที่มีอยู่ไม่รู้หดหายไปไหนหมดเมื่อได้ยินเสียงมะเหงกเขกกะโหลกดังโป๊กใหญ่ลอยมา
โป๊กกกกกก.....
โอ๊ย!
“เงียบไปเลย เจ้าลูกตัวแสบ ไว้พ่อเสร็จธุระกับแขกก่อน...เจอดีแน่ เตรียมใจไว้ได้เลย” ราชาเมเนลิกชี้หน้าฟินเซลที่ลงไปนั่งจ๋องอย่างหมดมาดแล้วหันมาพยักหน้าน้อยๆให้มนุษย์อีก 2 คนในห้อง
“รู้มั้ย..เจ้าเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้เข้ามาในปราสาทนี้ ลอเรนซ์ ดอร์น ลูคัส ซาโดเรีย แต่เอาเถอะ...ถ้าของที่ตามหาอยู่ คือ กล่องจันทร์เสี้ยวล่ะก็ มาไม่ผิดที่หรอก”
ได้ยินแค่นี้เด็กน้อยก็ยิ้มออก แต่รอยยิ้มใสๆนั่นก็หุบฉับกับประโยคถัดไป
“แต่.....”
.....ว่าแล้วเชียว เรื่องง่ายๆ สบายๆ คงไม่มีทางเกิดขึ้นในฟิกนี้ ไอคนเขียนใจร้าย...นิสัยเสีย...ชอบแกล้งเด็ก (ลอรี่จ๋า เจสเปล่า คุณมีนตะหาก คุณมีนบอกให้เขียน - เจส)
“แต่อะไรครับ” ลูคัสกระตุกมือลอเรนซ์เบาๆแล้วเป็นฝ่ายถามเสียเอง
“มันอยู่ในที่ๆไปเอาออกมาค่อนข้างยากน่ะสิ เพราะอายุขัยของภูติยาวนานกว่าของมนุษย์ไม่รู้กี่เท่า ตอนทำสัญญา..ข้านึกว่ากว่าฟินเซลจะกลับมาคงอีกสัก 100 ปี 500 ปี....”
“100 ปี 500 ปีเรอะ ใจคอพ่อจะให้ข้าแห้งตายคาบ้านร้างเลยรึไง” เสียงภูติที่หวุดหวิดจะถูกขังลืมโวยวายแทรกขึ้นมาก่อนจะคอย่นเพราะโดนพ่อด่าเข้าให้
“หุบปาก...ช็อกโกแลตข้างหน้าแน่ะกินเข้าไปเยอะๆจะได้เงียบๆ...ต่อนะ...ข้าเลยเอากล่องที่เป็นของประกันสำคัญไปเก็บรักษาไว้ในที่ที่ไม่มีทางหายหรือมีใครขโมยไปได้ นึกไม่ถึงว่าแค่ 10 ปีฟินเซลก็ได้เป็นอิสระ”
“ท่านเก็บกล่องจันทร์เสี้ยวไว้ที่ไหน บอกมาเถอะ เดี๋ยวเราสองคนไปเอามาเอง” คำถามตรงประเด็นจากเด็ก 6 ขวบเรียกรอยยิ้มบางจากราชาภูติได้
“อยู่ใน ‘เมโมรี่โดม’ น่ะ”
.............................................
เมโมรี่โดมที่อยู่ตรงหน้าภูติ 2 ตนกับมนุษย์อีก 2 คนเป็นยอดหอคอยที่สูงที่สุดที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางปราสาทแห่งนี้และใช้เป็นที่เก็บรักษาทรัพย์สินมีค่าและความทรงจำ
ใช้เก็บของน่ะยังพอเข้าใจ แต่เก็บความทรงจำ(!?)...ยังไงล่ะ
“พยายามเอากล่องออกมาให้ได้ก่อนที่ปราสาทจะจมลงสู่ก้นทะเลสาปอีกครั้งยามพระอาทิตย์ขึ้นเต็มที่ของวันพรุ่งนี้” ราชาภูติอธิบายพร้อมกับปัดไม้ปัดมือเจ้าชายที่เอาแต่สะกิดจิ๊กๆอยู่ข้างหลังอย่างสุดแสนจะรำคาญ
“รับนี่ไป เจ้าต้องใช้มัน” ราชาเมเนลิกส่งคริสตัลสีขาวใสก้อนเล็กๆให้ลอเรนซ์ตามด้วยยื่นแท่งแก้วที่เป็นประกายสีน้ำเงินจัดให้ลูคัส “ส่วนเจ้า...ถ้าหาของไม่สำเร็จ หมดเวลาหรือเลิกล้มความตั้งใจเสียก่อนให้ใช้ของสิ่งนี้เปิดทางกลับออกไปข้างนอก เอาล่ะ.... รีบเข้าไปเถอะ”
เอา...งานนี้ เป็นไงเป็นกัน
สู้ว้อย.....
ลับร่างคู่หูตัวแอล...ราชาภูติก็โคลงหัวไปมาอย่างอารมณ์ดีก่อนจะตวัดสายตาไปหามือที่ยังสะกิดไม่ยอมเลิก
“มีอะไร”
“พ่อคิดอะไรอยู่น่ะ แค่ดีดนิ้วเปาะเดียวของที่ต้องการก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าแล้ว....ไม่เห็นต้องให้สองคนนั่นเข้าไปข้างในเลยนี่ จริงๆพ่อรู้มาก่อนใช่ม้าว่าข้าจะกลับมาวันนี้”
“ทีงี้ล่ะฉลาด” คำประชดไม่จริงจังนักก่อนแจกมะเหงกให้อีกทีเป็นรางวัล
....ข้าทำตามที่สัญญาไว้แล้วนะ...ริชาร์ด....ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเด็กคนนั้นว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน
..................................
ภายในเมโมรี่โดมไม่มีอะไรเลย นอกจากประตู...ประตู...และประตู
ในนี้มีประตูร่วมร้อยๆ พันๆบานเลยล่ะมั้ง
ระหว่างที่ลูคัสกับลอเรนซ์ยืนงง เสียงราชาภูติก็ดังขึ้น
“ทั้งหมดนี้เป็นประตูมหาสมบัติและประตูแห่งความทรงจำที่จะนำไปสู่อดีตและอนาคตของเจ้าสองคน ประตูแห่งอดีตเท่านั้นที่จะเปิดออกได้...รีบหาประตูในช่วงเวลาที่พ่อมดแห่งแอเรียสกำลังมอบกล่องจันทร์เสี้ยวให้ข้าให้พบโดยเร็ว แล้วเอากล่องออกมา....จำไว้ว่ามีเวลาแค่คืนนี้เท่านั้น เมื่อหมดเวลาให้รีบใช้แท่งแก้วกลับออกไปจากที่นี่ถ้าไม่อยากติดอยู่ในนี้ไปอีก 200 ปี....ขอให้โชคดี”
“ประตูบานเดียวท่ามกลางประตูเป็นพัน หาเจอง่ายๆก็แปลกล่ะ” ลูคัสมองบรรดาประตูที่อยู่รอบๆตัวพลางบ่นอุบก่อนจะชะงักเมื่อลอเรนซ์เปิดประตูบานที่อยู่ใกล้ที่สุดออกแล้วกลั้นหัวเราะกึกกักอยู่คนเดียว
พอชะโงกหน้าเข้าไปดูมั่งถึงเห็นภาพเด็กชายลูคัสอายุ 3 ขวบกำลังกระโดดโลดเต้นจับแมลงปอแต่พลาดท่าพลัดตกลงไปในสระน้ำข้างๆแทน...ที่แย่ที่สุดคือ ตอนนั้นยังไม่ได้หัดว่ายน้ำน่ะสิ
“ลูคัสว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ” เด็ก 6 ขวบแหย่อดีตเด็ก 3 ขวบเล่น “ไว้กลับไปจะสอนให้นะ”
ได้เลย...แบบนี้ต้องเจอกันหน่อย
ลูคัสเปิดประตูที่อยู่ข้างๆตัวเองบ้าง
....ไม่ไหว ดันเป็นห้องเก็บตุ๊กตาที่มีตุ๊กตาตัวโตเท่ายักษ์ถึงตัวเล็กเท่านิ้วก้อยอยู่ข้างในซะนี่
งั้น บานนี้ล่ะ
เปิดไม่ออกแฮะ สงสัยข้างในเป็นเรื่องของอนาคต
เปลี่ยนๆ เอาบานนี้แล้วกัน
โอ้เย่... ใช่เลย
ก็หลังประตูบานนั้นดันเป็นภาพลอเรนซ์ตัวจ้อยที่หลับคาพระคัมภีร์เล่มใหญ่กว่าตัวคนอ่านอีกมั้งท่ามกลางเสียงสวดมนต์ของเหล่านักบวช
“ลอร.เรนซ์แอบหลับระหว่างสวดมนต์แบบนี้ไม่ดีนะ พอเป็นนักบวชแล้วอย่าทำล่ะ อายคนอื่นเค้า” ลูคัสได้ทีแหย่กลับบ้าง
เท่านั้นแหละ....มหกรรมสงคราม ‘แฉความลับ’ ก็เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ประตูหลายสิบหลายร้อยบานถูกเปิดออกดูเหตุการณ์ที่อยู่ข้างใน ถ้าเจอเรื่องน่าอายของตัวเองก็ทำหน้าตายแล้วอุบเงียบ แต่ลองเจอเรื่องหน้าแตกของอีกคนเข้าสิ เป็นต้องแซวกันให้ตายไปข้างนึง!!!
ตอนนี้ลอเรนซ์กับลูคัสมีคะแนนเท่ากัน 1 : 1
“ว้าว! ทะเล สวยจังเลย ลูคัสดูสิ..ห้องนี้มีทะเลล่ะ แต่ห้องเมื่อกี๊เป็นร้านขนมเค้ก”
ตอนนี้ลอเรนซ์ลืมเรื่องกล่องไปชั่วขณะเพราะกำลังสนุกเต็มที่กับการเปิดดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังประตูบ้าง..เลยเจอเข้ากับวิวใต้มหาสมุทรที่เต็มไปด้วยปะการังและฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อย
“แง้ ฮือออออออออ”
เสียงใคร ใคร้ ใคร ทำไมมันคุ้นๆ...หรือว่า....
“ลูคัส ปิดประตูบานนั้นนะ บอกให้รีบปิดไง ปิ๊ดดดดด” ลอเรนซ์ร้องจ๊ากแล้วรีบวิ่งเข้ามาดันประตูปิดทันที แต่ก็ลบภาพเด็กชายที่ร้องไห้โฮๆเพราะถูกผึ้งต่อยจนจมูกบวมออกจากสมองของลูคัสไม่ได้
ลูคัสเป็นฝ่ายนำ 2 : 1
เด็กน้อยใช้สายตาอาฆาตมองคนที่เดินห่างออกไปแต่ยังตัวสั่นกึกๆตามแรงหัวเราะก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทางพลางดึงประตูข้างตัวให้เปิดออก
....ทารกผมดำในห่อผ้ากำลังหลับสนิทบนเบาะนุ่มๆ แต่สักพักนัยน์ตาสีเข้มก็ลืมขึ้นแล้วพยายามยื่นมือออกมาเหมือนรู้ว่ามีใครแอบมองอยู่
เด็กชายผมทองยิ้มให้ก่อนจะปิดประตูลงเบาๆแล้วหันซ้ายหันขวาเหล่มองเด็กคนเมื่อกี๊ในอีก 20 ปีต่อมาก็พอดีเห็นลูคัสเข้ามายืนใกล้ๆแล้วยื่นรูปถ่ายในมือที่เกิดจากเวทมนตร์จำลองภาพมาให้
แค่แวบแรกที่เห็น ลอเรนซ์ก็ถึงกับตาลุก มือเล็กๆพยายามจะคว้ารูปเอาไว้ให้ได้
แต่ พลาดดดดด....ง่ายแค่ยกมือขึ้นสูง รูปถ่ายก็พ้นรัศมีมือเด็กเอื้อมถึง
ลูคัสยิ้มกว้างก่อนเก็บภาพในมือใส่กระเป๋าเสื้อแล้วต่อด้วยการยั่วโมโหนายแบบที่กำลังโมโหเดือดปุดๆ
“ชุดซานต้าน่ารักดี แต่คนใส่หน้างอไปหน่อย คราวหลังต้องยิ้มเยอะๆนะ”
“ไม่มีคราวหน้า คราวไหนทั้งนั้นแหละ เค้าโดนเจ้าพ่อมดบังคับให้ใส่ตะหาก” มินิซานต้าตวาดแว้ด
....รู้งี้ เมื่อกี๊แอบดูดีกว่าว่าทารกนั่นทำผ้าอ้อมเปื้อนรึเปล่า ไม่น่าลืมเลย ฮึ!
ลูคัสเป็นฝ่ายนำอยู่ดีแหละ 3 : 1 แน่ะ
พอเห็นแอลเล็กอารมณ์บูด แอลใหญ่ก็เดินเลี่ยงห่างออกไปอีกครั้ง
ห้องไหนดี....ห้องนี้ดีกว่า
ข้างในบานประตูที่เลือกเป็นเหตุการณ์เมื่อครึ่งเดือนก่อนในห้องรับแขกเล็กๆของมหาวิหารแห่งแอเรียส...ตอนที่พ่อมดสุดแสนธรรมดาแนะนำพี่เลี้ยงคนใหม่ให้เด็กน้อยรู้จัก แต่พอเห็นดวงตาสีม่วงจับจ้องมาตรงๆ ริมฝีปากบางๆที่เม้มแน่น ลูคัสก็หายใจไม่ออกไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
....เด็กๆชอบเอาแต่ใจอยู่ด้วย ยิ่งเป็นลอรี่ยิ่งเดาใจไม่ถูก
พอไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่ฝืนยิ้มให้ตามฟอร์ม
....เค้าเป็นคนดีน้า อย่าเกลียดเค้าเลย รักเค้าเหอะ นิดนึงก็ยังดี....นี้สสสสสสสสนึงก็ได้
นิ้วก้อยเล็กๆถูกยื่นส่งมาให้อย่างนึกไม่ถึง
“ลอเรนซ์” เด็กน้อยบอกชื่อตัวเอง “รบกวนด้วยนะ”
นาทีนั้นที่ลูคัสทำอะไรไม่ถูก ก็พอดีมีมือยื่นมาสะกิดที่ไหล่
“นิ้วก้อย” เสียงพ่อมดดังขึ้นจากข้างหลัง
“อะ...อื้ม”
นิ้วก้อย 2 นิ้วของคน 2 คนเกี่ยวกันเหมือนเป็นสัญญา
....นายเป็นคู่หูฉันแล้วนะ ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงอีก 10 กว่าปีข้างหน้าด้วย
ลูคัสยิ้มทั้งที่ดวงตาและริมฝีปากก่อนจะปิดประตูลง พอหันไปข้างๆก็เห็นลอเรนซ์กำลังเปิดประตูบานที่อยู่ตรงข้ามกันพอดี
เฟี้ยว....ฉึกๆๆๆๆๆๆ
แค่บานประตูเปิดออกไม่กี่เซนฯ หนูน้อยก็ช็อกค้างเมื่อเห็นพายุมีดบินปลิวกระจายเต็มห้องข้างใน มารู้สึกตัวอีกทีลูคัสก็ปิดประตูห้องนั้นแล้ว
“เมื่อกี๊อะไรน่ะ” ลอเรนซ์ถามงงๆ...หมือนจะเห็นคนในชุดนักเรียนสองคน ผมทองคน ผมดำคน แต่เห็นหน้าไม่ชัดสักคน
“อย่าสนใจเลย มันเป็นอดีตของฉันน่ะ” ลูคัสยิ้มแป้นพลางรุนหลังลอเรนซ์ให้ไปเปิดประตูบานต่อไป
....อดีตของฉัน แต่เป็นอนาคตของเราสองคนไงล่ะ
ทันใดนั้น
“ลูคัส” เสียงคู่หูตัวเล็กร้องลั่น” “ลูคัส ลูคัสอยู่ไหน เจอแล้ว!!!!”
หลังประตูที่ลอเรนซ์ยืนอยู่เป็นภาพพ่อมดแห่งแอเรียสกำลังส่งกล่องใบย่อมที่ฝากล่องสลักเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวให้ราชาภูติจริงๆด้วย
“ขืนวิ่งเข้าไปแย่งมา สองคนนั่นต้องไม่ยอมแน่เลย ทำไงดีล่ะ” แอลเล็กเงยหน้าขอความเห็นแอลใหญ่
“ใช่ ดีไม่ดี เราจะโดนพ่อมดกับภูติรุมสกรัมกันด้วยน่ะสิ” ลูคัสวิเคราะห์สถานการณ์แล้วเห็นด้วยหมดใจ “เอางี้...พอนับหนึ่งถึงสามแล้วลอร.เรนซ์ไม่ต้องสนใจอะไร รีบคว้ากล่องให้ได้อย่างเดียว โอเค๊...”
พอลอเรนซ์พยักหน้ารับ ลูคัสก็เริ่มนับ
นึง...
ส่อง....
ซ่ำ........
คนตัวเล็กถูกอุ้มลอยขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดาย แต่พอลอเรนซ์อ้าปากเตรียมโวยวายก็พอดีนึกอะไรขึ้นได้ก่อนยืดตัวออกไปหน้าเต็มที่ มือเล็กๆกระชากกล่องออกจากมือพ่อมดสุดแรงและจังหวะเดียวกันนั้นลูคัสก็ดึงตัวกลับแล้วใช้เข่ากระแทกประตูปิดดังโครมใหญ่
ได้แล้ว...กล่องจันทร์เสี้ยว
แต่ก็ยังไม่ถึงเวลามาชื่นชมผลงานกันอยู่ดี เพราะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน...ปราสาทคงกำลังเริ่มจมลงสู่ก้นทะเลสาบอีกครั้ง
พอคู่หูตัวแอลจับมือกันวิ่งออกมานอกเมโมรี่โดมได้ก็เจอภูติพ่อลูกตัวป่วนแถมด้วยพี่เลี้ยงอีกสองยืนรออยู่ แต่พอเห็นกล่องในมือลอเรนซ์ ทุกคนก็ยิ้มออก
“เร็วเข้า รีบออกไปที่ประตูใหญ่” ราชาเมเนลิกรีบชี้ทางออกให้...กลัวจริงๆว่าถ้าเจ้าหนูนี่เกิดตกค้างติดอยู่ในปราสาท เจ้าริชาร์ดตัวร้ายคงต้องตามมาบุกชิงตัวประกันคืนแน่...ก็ถ้าเอาจริงขึ้นมาล่ะก็ ก้นทะเลสาปแค่นี้...ไม่ครนามือเจ้านั่นหรอก
“แล้วจะไปเยี่ยมนะ ภูติน่ะจะออกไปนอกปราสาทเมื่อไหร่ก็ได้” ฟินเซลที่เข้ามาส่งถุงขนมให้แอบกระซิบ “แต่ต้องรอให้ข้าได้วีซ่าผ่านตลอดจากพ่อก่อน ไม่รู้อีกนานแค่ไหน”
“ลาก่อนนะ ขอโทษจริงๆที่มารบกวนแล้วก็ขอบคุณมากๆเรื่องกล่องด้วย” ลอเรนซ์ทำความเคารพแล้วรีบวิ่งตื๋อจากไปพร้อมลูคัส
บัดนี้ปราสาทแห่งภูติพรายจมลงไปกว่าครึ่งแล้ว เมื่อไม่มีทางเลือกคู่หูตัวแอลเลยต้องดำน้ำออกไป โชคดีที่แท่งแก้วสีน้ำเงินเป็นเหมือนกุญแจกลายๆทำให้ผ่านม่านน้ำวนออกไปได้ง่ายๆ ไม่งั้นรับรองว่าไม่มีทางรอด 100%....
พอกลับถึงชายฝั่ง ลอเรนซ์กับลูคัสที่เปียกโชกไปหมดทั้งตัวก็หมดแรงเอาดื้อๆ ได้แต่พลิกตัวนอนหงายพลางหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดพร้อมกับมองยอดปราสาทที่กำลังจมลงไปในน้ำท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่จนหายไปจากสายตา...สักพักผืนน้ำบริเวณนั้นก็กลับมาเรียบกริบเหมือนปรกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
คู่หูต่างวัยหันมามองหน้ากันแล้วส่งยิ้มให้กล่องจันทร์เสี้ยวที่วางกลิ้งอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
.....................
มหาวิหารแห่งแอเรียสจ้ะ
“ไง สนุกดีใช่มั้ยล่ะ” รอยยิ้มกว้างจากพ่อมดมหัศจรรย์จอมลีลาที่กว่าจะยอมออกมาให้เห็นหน้าก็เกือบอาทิตย์หลังจากที่ลอเรนซ์กับลูคัสกลับมาถึงวิหาร ทำเอาเด็กความอดทนต่ำหงุดหงิดมาตลอดหลายวัน
...ใช่ ใช่ซี่ สนุก...สนุกมากเลย แต่ตอนนี้เค้าอยากรู้ว่าอะไรอยู่ในกล่องนั่นน่ะ รีบเปิดเร็ว
เพราะสายตาที่ลอเรนซ์ตัวน้อยมองอย่างสนใจล่ะมั้ง พ่อมดเลยใจอ่อนยอมส่งกล่องจันทร์เสี้ยวในมือให้ง่ายๆท่ามกลางความแปลกใจของคนสองคนที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปตามหาจนเจอ
“ใช่กล่องใบนี้แน่รึเปล่า” ลูคัสที่ยกถ้วยชาค้างไว้ ไม่ยอมจิบสักทีถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ
“อาฮะ ใบนี้ล่ะถูกแล้ว” พ่อมดแสนจะธรรมดายืนยันพร้อมรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ “อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าอะไรอยู่ข้างใน ลองเปิดดูสิ”
ลอเรนซ์มองหน้าลูคัสอย่างทำใจลำบาก
...อยากรู้ก็อยาก...ระแวงก็มากอยู่ เอาไงดี
หนูน้อยค่อยๆลองเขย่ากล่องปริศนาเบาๆอย่างระมัดระวัง
ได้ยินเสียงวัตถุชิ้นเล็กๆกระทบกันดังแกร็กๆ
....เอ คงเป็นเครื่องประดับอีกชิ้นของตาพ่อมดนี่ซะล่ะมั้ง
....แต่ถ้าเป็นมนตราหรือคำสาปที่ร่ายเก็บไว้ล่ะ
....ไม่แน่...อาจเป็นสัตว์ประหลาดก็ได้
....เอา เปิดก็เปิด อยากรู้นี่
....
...............
ทันทีที่มือเล็กๆดันฝากล่องขึ้น
.....
..............
โอ๊ย!
เด็กชายร้องลั่นเมื่อโดนอะไรสักอย่างกระเด้งขึ้นมากระแทกเต็มหน้าแถมยังได้ยินเสียงหัวเราะแบบสะใจจริงๆของอีตาพ่อมดเจ้าเล่ห์เข้าเต็มสองหูซะอีก
ป่อยยยยยย ๆ ๆ ๆ.....แป่วววววววว ๆ ๆ ๆ ๆ
ลอเรนซ์ก้มมองกำปั้นติดสปริงกับตุ๊กตาตัวตลกที่เด้งดึ๋งออกมาจากกล่องแล้วจัดการโยนโครมลงไปกองบนพื้นตรงหน้าอย่างมีเคือง ใบหน้าใสๆงอง้ำ น้ำตาก็ทำท่าจะไหลเอาดื้อๆ
“โอ๋ ๆ ๆ ๆ ไม่เอาน่า แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง” เสียงหัวเราะเงียบลงได้ราวติดดิสเบรกเหมือนกัน
....หน่อยเดียวเหรอ หน่อยเดียวตรงไหน แกล้งกันชัดๆ
“พอเป็นนักบวชแล้วขี้แยแบบนี้ไม่ได้นา โดนหัวเราะเยาะตายเลย” ลงท้ายมุขเด็ดก็ถูกงัดออกมาใช้แถมได้ผลชะงัดนัก ลอเรนซ์เลิกงอแงทันที
“จริงๆนะ ห้ามล้อเล่น”
“ไว้ไปคุยกับหัวหน้านักบวชก่อน กำหนดวันได้แล้วจะมาบอกอีกที” น้ำเสียงอีกฝ่ายบอกชัดว่าไม่ได้ล้อเล่นเหมือนทุกทีก่อนหันมาทางลูคัส “ขอบใจนะ เที่ยงคืนของวันนี้ให้ไปที่ทุ่งกว้างนอกเมือง ฉันจะส่งเธอกลับบ้านตามสัญญา วันนี้แค่นี้ก่อน บ๊ายบาย” ริชาร์ดก้มลงเก็บกล่องจันทร์เสี้ยวจากพื้นขึ้นมาถือไว้แล้วก้าวเท้าออกเดิน
จังหวะที่เดินผ่านว่าที่นักบวชคนใหม่ เสียงกระซิบเบาๆที่ได้ยินกันแค่ 2 คนก็ดังขึ้น
“แล้วเจอกัน ลอรี่”
ลอเรนซ์กระพริบตาปริบ ตั้งสติ..ก่อนจะมองตามแผ่นหลังคนที่กำลังเดินออกจากห้องไป รอยยิ้มน้อยๆเกิดขึ้นอย่างรู้ทัน
....แล้วเจอกัน พ่อ
.........................
ระหว่างทางที่รถม้าวิ่งกลับวังหลวง ริชาร์ดแห่งแอเรียสหมุนกล่องจันทร์เสี้ยวในมือไปมาพลางนึกถึงสัญญาเมื่อ 10 ปีก่อน ขณะมอบกล่องใบนี้ให้ราชาภูติเมเนลิก
......เจ้าชายแลกเจ้าชาย รัชทายาทคนต่อไปของแอเรียสแลกกับทายาทของอาณาจักรภูติ ยุติธรรมดีมั้ย
ริชาร์ดยิ้มนิดๆขณะคว่ำกล่องเอาด้านที่มีรูปสลักลง..หยิบเอาคริสตัลก้อนเล็กที่ได้จากลอเรนซ์ออกมาใส่ในช่องว่างเล็กๆที่ข้างกล่อง
ช่องลับเล็กๆขยับเลื่อนออกมาอย่างแผ่วเบา ข้างในบรรจุ “ไข่มุกแสงจันทร์” และ “ตราประจำพระองค์กษัตริย์แห่งแอเรียสจำลอง”
เพราะแอเรียสยังยึดธรรมเนียมโบราณที่ให้รัชทายาทออกไปเร่ร่อนข้างนอก ลอเรนซ์จำเป็นต้องไปเอาของสองสิ่งนี้คืนมาเพราะต้องใช้ในวันข้างหน้า เรื่องนี้คนยิ่งรู้น้อย..จะยิ่งปลอดภัย โชคดีที่เจ้าหนุ่มผมดำนั่นโผล่มาได้จังหวะ
....รอให้ถึงวันจัดพิธีสาบานตนเป็นนักบวชก่อนแล้วกัน ค่อยเล่าความจริงให้ฟังวันนั้น
.....................................
เอดินเบิร์ก...
เหลือเวลาอีก 2 อาทิตย์โรงเรียนพระราชาก็จะเปิดเทอมแล้วทำให้ทั้งโรงเรียนเริ่มกลับมาคึกคักเหมือนเดิม อย่างน้อยห้องที่มีรูพรุนมากที่สุดที่เงียบเหงามาตลอดปิดเทอมก็กลับคืนสู่สภาพปรกติอีกครั้ง
“กลับมาแล้วเหรอ ลอรี่” เสียงโยยวนชวนทะเลาะดังขึ้นทันทีที่เห็นรูมเมทเปิดประตูเข้ามา
เฟี้ยว.....ฉึก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“หุบปาก” เสียงตวาดยังห้วนสนิทแถมฟังหงุดหงิดเหมือนที่เคย แต่เพราะเพิ่งกลับมาจากข้างนอกล่ะมั้ง..ลอเรนซ์ถึงขี้เกียจทะเลาะด้วย
“เอ้า! ของฝาก” นักบวชโยนอะไรบางอย่างออกมาให้ซาตาน “จริงๆคนรู้จักเค้าเอามาฝากคนอื่นอีกทีแต่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน พ่อฉันเลยให้เอามาให้นาย ช่วยรับไว้หน่อยแล้วกัน”
ของที่อยู่ในมือลูคัสเป็นใบชาอย่างดีที่เจ้าตัวติดใจนักหนาตอนอยู่ที่ปราสาทแห่งภูติพราย
...อาฮะ เข้าใจล่ะ เพราะมีแขกพิเศษมาเยี่ยม ลอรี่ถึงถูกเรียกตัวกลับบ้าน ส่วนพ่อของลอรี่ที่ฝากใบชามาให้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก....
ที่ทุ่งกว้างนอกเมือง ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของพายุเวทที่พัดรุนแรงจนหูแทบอื้อ คำพูดสุดท้ายที่ได้ยินก่อนกลับมาสู่ปัจจุบัน คือ
‘อีก 10 ปีข้างหน้า ลอรี่คงไม่ต้องให้เธอดูแลอีกแล้วล่ะ เป็นเพื่อนกันดีๆนะ’
...พ่อมดนั่น ป่านนี้จะเป็นยังไงนะ (ไม่รู้นั่นล่ะดีแล้ว ลูคัสเอ้ย - เจส)
“แต้งกิ้ว ฝากขอบคุณพ่อนายด้วยล่ะ” ซาตานเอาห่อใบชาไปเก็บแล้วเดินไปหยิบของในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือออกมาส่งให้ยิ้มๆ
“ฉันก็มีของฝากให้นายเหมือนกัน”
....เหรียญทองช็อกโกแลตกล่องใหญ่
....ของสำคัญที่ฟินเซลไม่ได้เอามาฝากลอเรนซ์เพราะนึกว่ามนุษย์ที่โตแล้วเขาไม่กินกัน เล่นเอาอดีตเด็กชอบช็อกโกแลตออกอาการหงุดหงิดเล็กๆ แต่จะออกฤทธิ์โวยวายเหมือนสมัยก่อนก็ไม่ได้...เสียฟอร์มแย่
“เด็กเล็กๆคนนึงให้มาก่อนฉันจะกลับโรงเรียน แต่ฉันไม่ชอบของหวานๆน่ะ”
ดีใจก็ดีใจแหละ แต่คนรับก็ยังฟอร์มจัด
....เจ้านี่จะเอาของมาจากไหนไม่สำคัญ ที่แย่คือ...ความลับเรื่องช็อกโกแลตรั่วไหลตั้งแต่เมื่อไหร่
“นายไปไหนมา” นักบวชอยากรู้จริงจริ๊ง
ซาตานส่งยิ้มให้แทนคำตอบก่อนจะซุกตัวลงใต้ผ้าห่มแล้วหลับไปอย่างมีความสุข
มีรูปเด็กน้อยผมทองในชุดซานตาคลอสสีแดงซ่อนอยู่ใต้หมอน
…..The End…...
22 / 10 / 2006
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น