Author : neoaries+jeserith
Pairing : -------
ระดับ : ปลอดภัยไร้กังวล
Disclaimer : ตัวละครทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของคุณ rabbit ค่ะ
-----------------------------------------------------------------------
ทริสทอร์ : การกลับมาของใครบางคน
...ที่นี่ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน เมื่อไม่มีพวกเจ้า ริเรีย ไกอา...
ดวงเนตรสีดำสนิทราวท้องฟ้ายามรัตติกาลที่บัดนี้ดูอิดโรยไปตามเวลาที่ผันผ่านและชันษาที่เพิ่มพูนขึ้นของกษัตริย์วีเมย์ คาราคัส แห่งทริสทอร์ วูบไหวไปด้วยแรงสะท้อนจากอารมณ์ที่เก็บไว้ในส่วนลึกของพระราชหฤทัย ขณะทอดสายพระเนตรจากหน้าต่างที่ประทับส่วนพระองค์บนยอดปราสาทลงไปยังสถานที่ที่ก่อนหน้านี้เคยเนืองแน่นไปด้วยผู้คนและเสียงหัวเราะ
ในอุทยานหลวงกว้างใหญ่เบื้องล่าง...
ชิงช้าเถาวัลย์ที่ผูกไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่เดิมเคยเป็นที่โปรดปรานของเด็กคนหนึ่ง เดี๋ยวนี้ถูกปล่อยทิ้งให้แกว่งไกวไปตามสายลมอย่างเดียวดาย เช่นเดียวกับในลำธารสายเล็กข้างๆ ที่แต่ก่อนเคยมีกองทัพเรือจำลองลำน้อยที่สร้างจากกิ่งไม้ใบไม้ลอยวนอยู่ วันนี้ก็ว่างเปล่าลงอย่างน่าใจหาย ส่วนโต๊ะน้ำชาขนาดย่อมที่ถูกแปลงเป็นกระดานแปดคูณแปดกลายๆ ด้วยฝีมือเหล่าเด็กๆ ยังคงถูกทิ้งไว้อย่างเดิมเหมือนยังเล่นค้างเอาไว้
พระกรรณเหมือนแว่วเสียงกรีดร้องประสานกันกับเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ดังมาจากที่ไกลๆ
สถานที่อันเปี่ยมล้นไปด้วยความทรงจำที่ถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิม ไม่ต่างจากเมื่อห้าสิบปีก่อน
กษัตริย์วีเมย์ทรงถอนพระทัยยาวยามคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นนานแสนนานมาแล้ว เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความทุกข์และสุขที่ยากจะหาคำใดเปรียบ หากเวลาย่อมมิต่างไปจากสายน้ำ เมื่อไหลผ่านไปย่อมมิอาจหวนคืนกลับมา
แม้พระทัยจะทรงคิดถึง แต่ก็มิอาจจะได้พบกันอีก ตลอดกาล...
เจ้าหญิงริเรีย คาราคัส พระราชธิดาองค์โต ผู้ผันตนจากเจ้าหญิงน้อยแห่งทริสทอร์ไปเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเวนอล...พระมารดาแห่งองค์จักรพรรดิวิลเลี่ยม โบแด็งที่สาม
และ
เจ้าชายไกอา คาราคัส มกุฎราชกุมารผู้เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ กระทั่งคนทั่วไปเข้าใจว่ามีเพียงเจ้าหญิงริเรียพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นทายาทอันชอบธรรมในราชบัลลังก์ทริสทอร์
...ถ้าตอนนั้นแม่รั้งเจ้าไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้...
ริมพระโอษฐ์บางแย้มสรวลอย่างขื่นขมเมื่อระลึกถึงยามที่ราชโอรสองค์เดียว...ลูกชายที่ผู้เป็นแม่ตั้งความหวังไว้เต็มเปี่ยมว่าจะให้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งทริสทอร์สืบต่อไปในอนาคตส่งข่าวกลับมาหลังจากได้ออกไปเร่ร่อนอยู่ภายนอกตามธรรมเนียมโบราณแล้วสักระยะ
.... “โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมาย และชั่วชีวิตนี้ลูกก็อยากเห็นทุกสิ่งด้วยตาตัวเองทั้งหมด”...
ถ้อยคำสั้นๆ ที่เขียนทิ้งไว้ในจดหมายที่พระองค์ยากจะลืมเลือน ทั้งที่ประโยคนั้นบอกใบ้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นทุกอย่างในอนาคต แต่พระมารดากลับเห็นเพียงว่าพระโอรสสนใจความเป็นไปต่างๆ รอบตัวซึ่งจะเป็นการดีเมื่อขึ้นครองราชย์จึงไม่ได้ทัดทานอะไร ปล่อยให้เดินทางท่องเที่ยวไปยังดินแดนต่างๆ ได้ตามที่ประสงค์ แม้ว่าหลังจากนั้นพระองค์จะได้รับข่าวจากเจ้าชายไกอาน้อยลงจนเงียบหายไปในที่สุดก็ตาม
จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนพระราชา เจ้าชายแห่งทริสทอร์ก็ไม่แม้แต่จะปรากฏกายหรือติดต่อบอกข่าวคราวใดๆ คล้ายกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ในราชวงศ์มาก่อน
ลงท้าย.....ความหวังที่กษัตริย์วีเมย์หมายพระทัยไว้ก็สลายไปราวถูกกระชากอย่างแรงจนสะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนหวาน
ไม่ว่าจะพระราชธิดาหรือพระราชโอรส ทุกพระองค์ล้วนทิ้งให้กษัตริย์วีเมย์ต้องเดียวดาย
โดยเฉพาะยิ่งเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนมีข่าวลับส่งมาถึงพระองค์ว่า เจ้าชายไกอา คาราคัส ทรงจากโลกนี้ไปแล้วอย่างสงบในฐานะสามัญชนธรรมดาคนหนึ่งในถิ่นชนบทแถบซูลู
แม้จะเคยทำพระทัยไว้แล้วก่อนหน้านี้ แต่ข่าวยืนยันการตายของลูกก็ทำให้หัวใจคนเป็นแม่แตกสลายได้ไม่น้อยกว่าคราวได้รับข่าวการสูญเสียสมเด็จพระราชินีริเรียแห่งเวนอล
ท่ามกลางความเศร้าโศกจนแทบจะทานทนไม่ไหวยังมีประกายแสงเล็กๆ ที่คอยค้ำจุนลมหายพระทัยของกษัตริย์ผู้ชรานี้ไว้เมื่อได้รับคำยืนยันหนักแน่นว่า ‘ก่อนสิ้นพระชนม์เจ้าชายไกอาทรงสมรสกับหญิงชาวทริสทอร์ที่พำนักอยู่ในแกรนไลน์’
ฉะนั้น...
ทายาทของทั้งคู่ หรือ หลานย่าของพระองค์ คือ แสงสว่างและทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของทริสทอร์ในเวลานี้
แต่...
...ข่าวของทายาทผู้นั้นกลับกลืนหายเข้าไปในความมืดมากว่าสิบปี
จนกระทั่งอาทิตย์ที่แล้ว....
“...ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วเพคะ...” เสียงนางกำนัลคนสนิทเข้ามากราบทูลเบาๆ ขณะที่นายทหารองครักษ์เปิดบานประตูด้านข้างออก
กษัตริย์วีเมย์หมุนพระองค์กลับมาพลางพยักพักตร์รับรู้ ริมโอษฐ์ปรากฏรอยแย้มสรวลบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดได้เห็นมานานแล้วก่อนจะย่างพระบาทออกไปจากห้อง
...ในที่สุดสวรรค์ก็ประทานรางวัลให้กับความหวัง ความมุ่งมั่น และศรัทธาของพระองค์...
...ที่นี่ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน เมื่อไม่มีพวกเจ้า ริเรีย ไกอา...
ดวงเนตรสีดำสนิทราวท้องฟ้ายามรัตติกาลที่บัดนี้ดูอิดโรยไปตามเวลาที่ผันผ่านและชันษาที่เพิ่มพูนขึ้นของกษัตริย์วีเมย์ คาราคัส แห่งทริสทอร์ วูบไหวไปด้วยแรงสะท้อนจากอารมณ์ที่เก็บไว้ในส่วนลึกของพระราชหฤทัย ขณะทอดสายพระเนตรจากหน้าต่างที่ประทับส่วนพระองค์บนยอดปราสาทลงไปยังสถานที่ที่ก่อนหน้านี้เคยเนืองแน่นไปด้วยผู้คนและเสียงหัวเราะ
ในอุทยานหลวงกว้างใหญ่เบื้องล่าง...
ชิงช้าเถาวัลย์ที่ผูกไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่เดิมเคยเป็นที่โปรดปรานของเด็กคนหนึ่ง เดี๋ยวนี้ถูกปล่อยทิ้งให้แกว่งไกวไปตามสายลมอย่างเดียวดาย เช่นเดียวกับในลำธารสายเล็กข้างๆ ที่แต่ก่อนเคยมีกองทัพเรือจำลองลำน้อยที่สร้างจากกิ่งไม้ใบไม้ลอยวนอยู่ วันนี้ก็ว่างเปล่าลงอย่างน่าใจหาย ส่วนโต๊ะน้ำชาขนาดย่อมที่ถูกแปลงเป็นกระดานแปดคูณแปดกลายๆ ด้วยฝีมือเหล่าเด็กๆ ยังคงถูกทิ้งไว้อย่างเดิมเหมือนยังเล่นค้างเอาไว้
พระกรรณเหมือนแว่วเสียงกรีดร้องประสานกันกับเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ดังมาจากที่ไกลๆ
สถานที่อันเปี่ยมล้นไปด้วยความทรงจำที่ถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิม ไม่ต่างจากเมื่อห้าสิบปีก่อน
กษัตริย์วีเมย์ทรงถอนพระทัยยาวยามคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นนานแสนนานมาแล้ว เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความทุกข์และสุขที่ยากจะหาคำใดเปรียบ หากเวลาย่อมมิต่างไปจากสายน้ำ เมื่อไหลผ่านไปย่อมมิอาจหวนคืนกลับมา
แม้พระทัยจะทรงคิดถึง แต่ก็มิอาจจะได้พบกันอีก ตลอดกาล...
เจ้าหญิงริเรีย คาราคัส พระราชธิดาองค์โต ผู้ผันตนจากเจ้าหญิงน้อยแห่งทริสทอร์ไปเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเวนอล...พระมารดาแห่งองค์จักรพรรดิวิลเลี่ยม โบแด็งที่สาม
และ
เจ้าชายไกอา คาราคัส มกุฎราชกุมารผู้เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ กระทั่งคนทั่วไปเข้าใจว่ามีเพียงเจ้าหญิงริเรียพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นทายาทอันชอบธรรมในราชบัลลังก์ทริสทอร์
...ถ้าตอนนั้นแม่รั้งเจ้าไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้...
ริมพระโอษฐ์บางแย้มสรวลอย่างขื่นขมเมื่อระลึกถึงยามที่ราชโอรสองค์เดียว...ลูกชายที่ผู้เป็นแม่ตั้งความหวังไว้เต็มเปี่ยมว่าจะให้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งทริสทอร์สืบต่อไปในอนาคตส่งข่าวกลับมาหลังจากได้ออกไปเร่ร่อนอยู่ภายนอกตามธรรมเนียมโบราณแล้วสักระยะ
.... “โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมาย และชั่วชีวิตนี้ลูกก็อยากเห็นทุกสิ่งด้วยตาตัวเองทั้งหมด”...
ถ้อยคำสั้นๆ ที่เขียนทิ้งไว้ในจดหมายที่พระองค์ยากจะลืมเลือน ทั้งที่ประโยคนั้นบอกใบ้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นทุกอย่างในอนาคต แต่พระมารดากลับเห็นเพียงว่าพระโอรสสนใจความเป็นไปต่างๆ รอบตัวซึ่งจะเป็นการดีเมื่อขึ้นครองราชย์จึงไม่ได้ทัดทานอะไร ปล่อยให้เดินทางท่องเที่ยวไปยังดินแดนต่างๆ ได้ตามที่ประสงค์ แม้ว่าหลังจากนั้นพระองค์จะได้รับข่าวจากเจ้าชายไกอาน้อยลงจนเงียบหายไปในที่สุดก็ตาม
จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนพระราชา เจ้าชายแห่งทริสทอร์ก็ไม่แม้แต่จะปรากฏกายหรือติดต่อบอกข่าวคราวใดๆ คล้ายกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ในราชวงศ์มาก่อน
ลงท้าย.....ความหวังที่กษัตริย์วีเมย์หมายพระทัยไว้ก็สลายไปราวถูกกระชากอย่างแรงจนสะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนหวาน
ไม่ว่าจะพระราชธิดาหรือพระราชโอรส ทุกพระองค์ล้วนทิ้งให้กษัตริย์วีเมย์ต้องเดียวดาย
โดยเฉพาะยิ่งเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนมีข่าวลับส่งมาถึงพระองค์ว่า เจ้าชายไกอา คาราคัส ทรงจากโลกนี้ไปแล้วอย่างสงบในฐานะสามัญชนธรรมดาคนหนึ่งในถิ่นชนบทแถบซูลู
แม้จะเคยทำพระทัยไว้แล้วก่อนหน้านี้ แต่ข่าวยืนยันการตายของลูกก็ทำให้หัวใจคนเป็นแม่แตกสลายได้ไม่น้อยกว่าคราวได้รับข่าวการสูญเสียสมเด็จพระราชินีริเรียแห่งเวนอล
ท่ามกลางความเศร้าโศกจนแทบจะทานทนไม่ไหวยังมีประกายแสงเล็กๆ ที่คอยค้ำจุนลมหายพระทัยของกษัตริย์ผู้ชรานี้ไว้เมื่อได้รับคำยืนยันหนักแน่นว่า ‘ก่อนสิ้นพระชนม์เจ้าชายไกอาทรงสมรสกับหญิงชาวทริสทอร์ที่พำนักอยู่ในแกรนไลน์’
ฉะนั้น...
ทายาทของทั้งคู่ หรือ หลานย่าของพระองค์ คือ แสงสว่างและทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของทริสทอร์ในเวลานี้
แต่...
...ข่าวของทายาทผู้นั้นกลับกลืนหายเข้าไปในความมืดมากว่าสิบปี
จนกระทั่งอาทิตย์ที่แล้ว....
“...ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วเพคะ...” เสียงนางกำนัลคนสนิทเข้ามากราบทูลเบาๆ ขณะที่นายทหารองครักษ์เปิดบานประตูด้านข้างออก
กษัตริย์วีเมย์หมุนพระองค์กลับมาพลางพยักพักตร์รับรู้ ริมโอษฐ์ปรากฏรอยแย้มสรวลบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดได้เห็นมานานแล้วก่อนจะย่างพระบาทออกไปจากห้อง
...ในที่สุดสวรรค์ก็ประทานรางวัลให้กับความหวัง ความมุ่งมั่น และศรัทธาของพระองค์...
...............................................................
เจมิไน
ถึง ลอเรนส์ โมนาโรค ลูกรัก
เมื่ออาทิตย์ก่อนทางราชสำนักทริสทอร์ได้ประกาศแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นสืบต่อจากกษัตริย์วีเมย์ที่ทรงชราภาพมากแล้ว เลยมีหนังสือเชิญมายังแอเรียสพร้อมบรรดากษัตริย์อีกยี่สิบสามประเทศทั่วเอเดนและหนึ่งเดมอส ให้มาร่วมเป็นสักขีพยานแสดงความยินดีกับกษัตริย์องค์ใหม่ที่ตอนนี้ถือว่าเป็นกษัตริย์ที่อายุน้อยและรูปหล่อที่สุดในเอเดน
ดูสิ...ดู...ดูนะ ทั้งที่รู้ทั้งรู้อยู่ว่าตัวเองเด็กสุด (มันก็ต้องหล่อที่สุดอยู่แล้ว) ยังจะมีหน้ามาเขียนย้ำประกาศศักดาให้เจ็บใจเล่นอีกว่าเป็นกษัตริย์ที่อายุน้อยที่สุดในเอเดน รู้มั้ย...กว่าข้าจะกัดฟันเขียนประโยคนี้ให้จบได้ก็เล่นเอาแทบคลั่ง ดูทำเข้า แบบนี้ข้ารับไม่ด๊าย... ข้ารับไม่ได้เด็ดขาด ไอ้เด็กนั่นมันหาว่าข้าแก่ (แถมขี้เหร่) ชัดๆ
ได้... ในเมื่ออยากหาว่าข้าแก่ดีนัก คนแก่อย่างข้าก็จะไม่ไปเสนอหน้าให้เสียพลังงานแถมเปลืองแคลอรี่ไปโดยเปล่าประโยชน์เพื่อไอ้เด็กอวดดีนั่น ดังนั้น ข้า ริชาร์ด โมนาโรค กษัตริย์แห่งแอเรียส ขอสั่งให้ เจ้าชายลอเรนซ์ โมนาโรค ว่าที่มกุฎราชกุมาร ไปร่วมงานบ้าๆ นั่นตามบัตรเชิญที่แนบมา ไม่ว่าเจ้าจะสมัครใจไปหรือไม่ แต่คำขาดของข้าคือ ต้องไป (ย้ำ.. ต้องไป แล้วประกาศให้ทั้งเอเดนรู้ด้วยว่า อีกไม่นานแอเรียสก็จะมีกษัตริย์องค์ใหม่ที่อายุน้อยไม่แพ้กัน แต่หล่อกว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ก็ลูกข้านี่นา จริงมั้ย!)
ส่วนเจ้ากษัตริย์หน้าใหม่นั่นก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ก็คนเคยเห็นหน้ากันบ่อยๆ สมัยอยู่ป้อมอัศวินนั่นแหละ หนอย! รู้งี้ตอนนั้นข้าน่าจะจ้องหน้าหาเรื่องมันสักทีสองทีก่อนที่เจ้านั่นจะรับตำแหน่งก็ดี
ปล. งานนี้ถือเป็นงานเปิดตัวเจ้าชายแห่งแอเรียส ทำให้ดีๆ อย่าให้ขายหน้ามาถึงข้าล่ะ แล้วก็หมดเวลาเที่ยวแล้ว รีบๆ กลับบ้านมาช่วยงานข้าได้แล้ว ข้าจะได้ไปเที่ยว
กลับมาบ้านได้แล้วพ่อรอเจ้าเสมอ
รัก
ลงชื่อ ริชชี่ พ่อที่ดีที่สุดในเอเดน
ครั้งแรกที่รับจดหมายมาถือไว้ ใบหน้าราวรูปสลักที่เคยนิ่งเฉยก็ปรากฏความหวาดระแวง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำยามเห็นชื่อของใครบางคนบนจดหมาย แต่พอดวงตาสีอเมธีสต์ไล่มองไปตามตัวหนังสือบนหน้ากระดาษจนสุดใจความ หัวใจมันก็แทบจะระเบิดออกมาด้วยความซาบซึ้งสุดขีดกับความรักของพระบิดา
...ตาแก่ วันๆ ถนัดแต่หาเรื่องปวดหัวให้คนอื่น ขนาดหนีมาถึงนี่แล้วยังตามมารังควานอีก...
มือของลอเรนซ์กำจดหมายแน่นจนเรียกได้ว่าขยำ ในใจหมายจะปาสิ่งนั้นลงถังขยะแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจอยู่เชียว หากไม่มีเสียงของใครบางคนร้องห้ามเอาไว้
“บัตรเชิญนั่น นายจะทิ้งไปหรือ” เสียงทักเบาๆ ดังมาจากคนนั่งจิบชาอยู่ข้างๆ นัยน์ตาสีน้ำเงินจับจ้องอยู่เงียบๆ พร้อมรอยยิ้มขันเมื่อเห็นอาการกระตุกจนมือไม้สั่นของอดีตเพื่อนร่วมสภาสูง
“ถ้านายทำแบบนั้นจะถือว่าไม่ให้เกียรติทริสทอร์รู้ไหม...เจ้าชายลอเรนซ์” เสียงทักท้วงที่ยังกลบรอยหัวเราะได้ไม่สนิทดีดังขึ้นอีกครั้งพร้อม ‘รอยยิ้มละไม’ โลโก้ประจำของเจ้าตัวที่จะขาดเสียมิได้ของเจ้าชายโรเวน ฮาเวิร์ด อดีตเสนาธิการแห่งป้อมอัศวิน
“แล้วมันเรื่องอะไรของเจมิไน” ลอเรนซ์สวนกลับทันควันอย่างหัวเสีย ใบหน้าที่เวลานิ่งเฉยก็เรียกได้ว่างดงามดีอยู่ หากยามนี้กลับบึ้งสนิทจนดึงความงามลดลงไปถึงหนึ่งจุด
...ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่น่ามัวแต่โล่งใจเลยที่จู่ๆ เจ้าซาตานที่ชอบทำตัวเป็นผีเกาะหลังได้หายไปจากชีวิต จนหลวมตัวยอมให้โรเวนลากตัวมาช่วยงานที่เจมิไนได้ง่ายๆ ทำให้ต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่เกือบสองเดือน เฮ้อ..... สุดท้ายตาแก่เลยตามตัวจนได้สิน่า...
“ที่บอกนี่เพราะเป็นห่วงหรอกน้า...” โรเวนลากเสียงยานคางอย่างจงใจล้อเลียน “ถ้าเดาไม่ผิด คิงริชาร์ดคงสั่งให้นายไปร่วมงานแทนใช่ไหมล่ะ แล้วก็คงมีคำสั่งอะไรประหลาดๆ ให้ทำเพิ่ม”
“แล้วมันเรื่องอะไรของเจมิไน” ลอเรนซ์ยังย้ำคำถามเดิมด้วยเสียงที่ไม่พยายามแม้แต่จะปิดบังความโกรธสักนิด
“ถูกต้อง มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเจมิไน ยิ่งถ้าแอเรียสมีปัญหากับทริสทอร์ก็ถือได้ว่าเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศรอบข้าง” น้ำเสียงจริงจังผิดจากเดิมของโรเวนเรียกให้ดวงตาสีอเมธีสต์เบือนลงมองบัตรเชิญเจ้าปัญหาในมืออีกครั้งพลางตัดสินใจเก็บมันเข้าไปไว้ในกระเป๋าเสื้อ
“ดีแล้ว ยังงั้นสิ” เจ้าชายโรเวนแย้มยิ้มพราย นัยน์ตาสีน้ำเงินฉายแววอบอุ่นที่หลายคนซึ่งรู้จักเจ้าชายผู้นี้ดีเรียกว่า ‘บ่วงบาศ’...บ่วงที่เอาไว้ใช้จับเหยื่อรอบกาย
“ก็แค่ไม่อยากให้คิงริชาร์ดแห่งแอเรียสตามมาอาละวาดถึงเจมิไนนี่ก็เท่านั้น” ลอเรนซ์ไหวไหล่พลางตอบส่งๆ แล้วก้าวเท้าออกจากห้อง แต่ขณะประตูกำลังจะปิดลงก็มีเสียงแว่วมากระทบหู
“ขอบใจที่เตือน เจ้าชายโรเวน”
รอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าชายแห่งเจมิไนอีกครั้ง
...เจ้าชายแห่งแอเรียสคนนี้ เห็นทีต้องระวังหน่อยแล้ว...
...............................................................
ทริสทอร์
สายลมอ่อนพัดไปตามทิวเขาและยอดหญ้า ท้องฟ้ากระจ่างใส ปุยเมฆสีขาวลอยเด่นเป็นรูปร่างตามแต่จินตนาการ อาทิตย์สาดแสงเรื่อเรืองปริ่มขอบฟ้าบดบังรัศมีจันทราในยามเช้า พร้อมเสียงวิหคร้องขับขานกล่อมบทเพลงแห่งวันใหม่ต้อนรับเหตุการณ์สำคัญแห่งหน้าประวัติศาสตร์
...พระราชพิธีบรมราชาภิเษกแห่งทริสทอร์...
ดินแดนแห่งมนตร์ดำ ศาสตร์ลึกลับซึ่งซ่อนกายอยู่ภายใต้แนวเขาและทิวป่าสน ดินแดนลึกลับที่น้อยคนนักจะย่างกรายผ่านไปมา
ทว่าในวันนี้ ดินแดนแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนที่พร้อมเพรียงกันมาเพื่อร่วมแสดงความยินดีให้แด่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งทริสทอร์
ธงแห่งอำนาจสีเขียวอ่อนขลิบขอบสีทองอร่ามสัญลักษณ์ประจำนครทริสทอร์บนยอดปราสาทโบกสะบัดไปตามสายลมให้เห็นเด่นเป็นสง่าเพื่อต้อนรับเหล่าราชอาคันตุกะทั่วทั้งยี่สิบสามประเทศในเอเดนและอีกหนึ่งเดมอส ดินแดนเจ้าของพันธสัญญา
ณ อุทยานกว้างภายในตัวปราสาทถูกดัดแปลงใหม่ทั้งหมดเพื่อใช้ในการรับรองเหล่ากษัตริย์ จากเดิมที่เคยรกร้างว่างเปล่า บัดนี้ทั้งอุทยานกับสะพรั่งไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันทั้งในและนอกฤดูแข่งขันกันเบ่งบานประชันความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบรรดาสุภาพสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายที่ต่างเติมแต่งตนเองให้งดงามเพื่อรอเข้าเฝ้ากษัตริย์พระองค์ใหม่ที่มีพระชันษาน้อยที่สุดในเอเดน
“ทริสทอร์”
เสียงเข้มดังแว่วลอยมาจากเจ้าชายแห่งเจมิไนผู้มาร่วมงานแทนกษัตริย์เซธ พระบิดา ขณะกวาดสายตามองไปรอบๆ “เป็นครั้งแรกที่ได้มาเลยนะนี่ นายก็เหมือนกันใช่ไหม”
“อือ” ลอเรนซ์ที่ถูกโรเวนลากติดมาด้วยตอบกลับแบบขอไปที ในใจเอาแต่นึกทบทวนไปมาถึงใจความที่ระบุไว้ในจดหมาย
... ‘ส่วนเจ้ากษัตริย์หน้าใหม่นั่นก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน ก็คนเคยเห็นหน้ากันบ่อยๆ สมัยอยู่ป้อมอัศวินนั่นแหละ’....
...รู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว จากป้อมอัศวินงั้นรึ... ลอเรนซ์คิด ...ถ้าเป็นป้อมอัศวิน คนที่เข้าข่ายที่สุดคงไม่พ้นหมอนั่น...
ปีศาจจากทริสทอร์...
...โร เซวาเรส...
ถ้อยคำตอบในความคิดที่ดูเหมือนจะลงตัวที่สุด ในบรรดาคนทั้งป้อมฯที่เขารู้จักมีผู้มาจากทริสทอร์อยู่เพียงหยิบมือ และที่ดูเข้าเค้ามากที่สุดคงไม่พ้นผู้ที่ได้รับฉายาขอทานจากทริสทอร์ ขอทานที่ดูเหมือนจะธรรมดาแต่กลับเต็มไปด้วยปริศนาภายในตัวมากมาย
ทว่า...
“เจ้าชายชาเบรียน โบแด็ง ตัวแทนแห่งเวนอลเสด็จ”
เสียงแตรใหญ่ประโคมดังเลื่อนลั่น พร้อมเสียงมังกรกระพือปีกหลายสิบตัวดังก้องน่านฟ้า แล้วถลาลงสู่พื้นเบื้องล่างภายในเขตพระราชวัง ก่อนร่างสง่าของใครบางคนจะตวัดตัวลงจากหลังมังกรสีเหลืองนวลอย่างคล่องแคล่วให้เห็นหน้าตาของผู้มาใหม่อย่างชัดเจน
จากอดีตรุ่นน้องขอทานนาม โร เซวาเรส ผู้เข้าข่ายจะได้เป็นรัชทายาทแห่งทริสทอร์กำลังเดินลงจากหลังมังกรจันทราในในชุดมกุฎราชกุมารแห่งเวนอลเต็มพระยศ พร้อมพระนามเดิมที่เคยทิ้งไป
...เจ้าชายชาเบรียน โบแด็ง แห่งเวนอล...
“ถวายพระพรฝ่าบาท” เจ้าชายชาเบรียนผู้ซึ่งเป็นตัวแทนจักรพรรดินีแห่งเวนอลถวายความเคารพแด่กษัตริย์วีเมย์ พลางปรบพระหัตถ์ออกคำสั่งให้ผู้ติดตามนำของกำนัลเข้ามาถวาย
กษัตริย์วีเมย์เพียงพยักพักตร์รับ “ไม่พบกันเสียนาน เจ้าและน้องยังสบายดีใช่ไหม”
“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและน้องสบายดี”
“ข้าขอโทษเรื่องพันธสัญญานั่น มันอาจทำให้เจ้าวางตัวลำบากไปสักพัก หากไม่พอใจ อยากจะกลับมายังทริสทอร์แห่งนี้ กลับมาตามพันธสัญญาที่ผูกพันเจ้าไว้ดังเดิม ข้าก็มิขัดขวาง”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ หากตอนนี้กระหม่อมมีความสุขดีแล้ว แม้จะต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง แต่กระหม่อมเชื่อว่าเวลาจะสามารถช่วยได้”
กษัตริย์แห่งทริสทอร์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วยกพระหัตถ์ขึ้นลูบเกศาสีชาของเจ้าชายแห่งเวนอลอย่างอ่อนโยน “หากเหนื่อยเมื่อใดก็กลับมาอยู่ที่นี่ได้ ทริสทอร์แห่งนี้ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ ชาเบรียน”
“เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว”
จบจากการทักทายกับกษัตริย์วีเมย์ เจ้าชายชาเบรียนก็ดำเนินเข้ามาในงาน ดวงเนตรสีมรกตกวาดมองสภาพโดยรอบที่ในอดีตเคยนึกกลัวและไม่ประสงค์จะกลับมายังที่นี่อีก หากยามนี้เมื่อกลับมาอีกครั้งกลับทรงรู้สึกอิ่มเอิบใจอย่างประหลาด ก่อนที่สายพระเนตรสะดุดเข้ากับสองรุ่นพี่คนสำคัญจากป้อมอัศวิน
เมื่อหันมาเห็นรุ่นพี่คนสำคัญของป้อมฯเข้า เจ้าห้องสมุดเคลื่อนที่ก็ฉีกยิ้มกว้างตามสไตล์เหมือนสมัยอยู่โรงเรียนมาให้พร้อมคำทักทาย หากยังคงธรรมเนียมชาววังเอาไว้บ้าง
“ไม่ได้พบกับซะนานเลย เจ้าชายโรเวน เจ้าชายลอ...”
“เรียกเหมือนเดิมเถอะ” ลอเรนซ์ที่ไม่ค่อยใส่ใจกับพิธีรีตองตัดบทง่ายๆ เมื่อดูท่าทีแล้วเจ้าขอทานคงจะสารยายตามธรรมเนียนอีกยาวจนไม่ต้องคุยกันพอดี
“ตกลงครับ” อดีตขอทานกำมะลอแห่งทริสทอร์ที่ยังยิ้มไม่เลิกพยักหน้ารับหลังจากเห็นว่าโรเวนพยักหน้าอนุญาตแล้ว
“นาย...” โรเวนขมวดคิ้วมองไปที่บัตรเชิญในมือโร
“อย่างที่พี่เห็น” โรยักไหล่ นัยน์ตาสีมรกตวาววับเหมือนกำลังหัวเราะอยู่ในดวงตา “อยู่ๆ ก็มีทูตจากทริสทอร์มาขอพบวิเวียนพร้อมอัญเชิญลายพระหัตถ์กษัตริย์วีเมย์ กล่าวถึงเรื่องขอยกเลิกสัญญาที่เวนอลต้องส่งมอบรัชทายาทให้แก่ทริสทอร์ทั้งหมด พร้อมทั้งให้ราชสกุลโบแด็งทุกพระองค์ปกครองเวนอลต่อไปเป็นปรกติ แล้วก็แนบบัตรเชิญนี่มาด้วย”
“งั้นเรอะ”
พอคนที่คิดว่าใช่กลับไม่ใช่ ลอเรนซ์ก็กวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อค้นหาคนอื่นๆ ที่เคยอยู่ป้อมอัศวินมาด้วยกัน “แล้วกษัตริย์องค์ใหม่ของทริสทอร์เป็นใคร” เขาเปรย สายตายังคงมองหาคนที่เข้าเค้าตามคำบอกใบ้ในจดหมาย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงที่แสนคุ้นเคย เสียงที่ไม่น่าจะได้ยินที่นี้
...เขตพระราชฐานแห่งทริสทอร์...
“ฉันเอง”
!!!
!!!!!
!!!!!!!!
“พี่ลูคัส!”
เสียงโร เซวาเรสบอกชัดว่าตกใจระคนพิศวงที่หันมาเห็นรุ่นพี่อีกคนในชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่ หนา หนัก ชายยาวระพื้น ที่สำคัญอย่างยิ่งปักตราประจำองค์กษัตริย์แห่งทริสทอร์อย่างที่เคยเห็นกษัตริย์วีเมย์ทรงเป็นประจำ
“ถ้านับญาติกันแล้ว เราสองคนไม่ใช่พี่น้องกันหรอกนะ” ลูคัสส่งยิ้มให้ญาติตัวเองก่อนแจกจ่ายไปเผื่อเพื่อนฝูง พอเห็นว่าทั้งสีหน้าและดวงตาของโรเวนเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง ขณะที่เพื่อนคู่หูที่สนิทที่สุดในป้อมอัศวินก้าวถอยหลังออกไปห่างๆ เหมือนไม่ไว้ใจ ลูคัสก็ถอนใจยาว
“ด้านนอกคนเยอะ เข้าไปคุยข้างในกันดีไหม”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น