Author : jes
Pairing : LL
ระดับ : ปลอดภัยไร้กังวล
Disclaimer : ตัวละครทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของคุณ rabbit ค่ะ
-----------------------------------------------------------------------
.
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วววววววววววว........
ณ อาณาจักรแอเรียสที่สวยงามและน่าอยู่ ได้เกิดเรื่องเศร้าขึ้น....
เมื่อกษัตริย์ริชาร์ดได้สูญเสียพระมเหสีคู่พระทัยไปอย่างไม่มีวันกลับ (ก็ตายน่ะแหละ) โดยทิ้งลูกสาวคนเดียว คือ เจ้าหญิงสโลรี่ไว้ให้ดูต่างหน้า ในเวลาอันรวดเร็วพระราชาก็หายเศร้าและอภิเษกราชินีแสนงามคนใหม่...วิเวียน่า...ราชินีคนใหม่ผู้มีผมสีทองอ่อนนัยน์ตาสีเขียว (ดีมากเจส...เดี๋ยวค่อยมาเอารางวัลที่ตกลงกันไว้นะ – คิงริชชี่ / จะฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อวิลเลี่ยมมมมม..ยัยเจสแกล้งหญิง ฮืออออ.....- วิเวียน)
ไม่มีใครรู้หรอกว่าราชินีวิเวียน่าแท้จริงแล้วเป็นแม่มดที่แสนจะใจร้าย เธอมีกระจกวิเศษบานใหญ่ที่รู้ไปหมดซะทุกเรื่องตั้งไว้ในห้องส่วนตัว ทุกๆวันก็จะไปยืนหน้ากระจกแล้วถามคำถามซ้ำๆว่า
“กระจกวิเศษบอกข้าเถิดดดดดดด....ใครร้ายเลิศในแผ่นดินนี้”
ทุกครั้ง..กระจกจะยิ้มแย้มแล้วตอบมาอย่างที่เคย
“ก็ต้องวิเวียน่าน่ะสิ.....ทั้งแผ่นดินนี้ไม่มีใครร้ายเทียม”
มาวันนี้คำตอบของกระจกวิเศษเปลี่ยนไป......
“กระจกวิเศษบอกข้าเถิดดดดดดด....ใครร้ายเลิศในแผ่นดินนี้”
“ก็ต้องเจ้าหญิงสโลรี่น่ะสิ.....ทั้งแผ่นดินนี้ไม่มีใครร้ายเทียม”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด ไม่จริงงงงงงงงงงงงงงงงง อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย.”
ราชินีวิเวียน่าร้องลั่นด้วยความเจ็บใจและรับความจริงไม่ได้ว่าอยู่ดีๆเจ้าหญิงสโลรี่ลูกเลี้ยงของตนที่ถูกส่งไปเลี้ยงดูอย่างทิ้งๆขว้างๆที่วิหารหลวงมาตลอดหลายปีจะกลายเป็นนางร้ายเกินหน้าเกินตาตัวเอง
อะไรกัน มันจะเป็นไปได้ยังไง..อุตส่าห์ส่งไปอยู่ในโบสถ์แท้ๆ
“ไม่ได้ๆ ต้องรีบจัดการเก็บ อาชูร่า..รีบไปตามคิลมาพบฉันเดี๋ยวนี้” วิเวียน่าสั่งนางกำนัลคู่ใจพร้อมส่งถุงเพชรนิลจินดาให้เป็นค่าปิดปาก
“เร็วๆเข้าล่ะ ไม่งั้นฉันจะส่งเธอไปเป็นซังกุงห้องเครื่อง...” วิเวียน่าตะโกนไล่หลังอาชูร่าไปอย่างใจร้อน
ระหว่างทางไปเข้าเฝ้า
“ควีนวิเวียน่ามีธุระอะไรกับฉันเหรอ” นักฆ่าผมดำ ตาสีม่วง กระซิบกระซาบถามอาชูร่าจังที่เอาแต่ชื่นชมแหวนเพชรวงใหญ่ที่เพิ่งได้มา”
“อยากรู้ก็เอามา 1000 คราวน์” อาชูร่าแบมือ
“200” คิลต่อราคาแบบน่าใจหาย
“500 ขาดตัว...ไม่งั้นไม่บอก”
“ก็ได้....” คิลยอมจ่ายตังค์แบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
“ควีนจะให้นายจัดการเก็บเจ้าหญิงสโลรี่”
“ง่า....งั้นฉันกลับก่อนนะ จะให้ฉันจัดการใครหน้าไหนก็ไม่เกี่ยง แต่ต้องไม่ใช่ยัยเจ้าหญิงนั่น” คิลเหงื่อตกแล้วรีบตัดช่องใหญ่แต่พอตัว..ชิ่งหนีทันที
“นายหญิงเจ้าคะ นักฆ่าหมายเลขหนึ่งแห่งซาเรสปฏิเสธไม่รับงานเจ้าค่ะ” อาชูร่ารายงาน
“อะไรกัน ไม่เป็นไร งั้นฉันลงมือเอง” วิเวียน่ายิ้มโหดก่อนจะร่ายเวทย์ลงบนกระจกวิเศษ
ฉับพลัน...ชายหนุ่มผมสีชาอ่อน ดวงตาสีเขียว ผู้มีเค้าหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับราชินีใจร้ายก็ก้าวออกมาจากกระจก
“พี่ชาย...หญิงอยากให้พี่ชายช่วย”
..............................
บรรยากาศที่วิหารหลวง เช้าวันรุ่งขึ้น
แสงแดดอ่อนๆยามเช้าลอดผ่านกระจกสีที่ผนังโบสถ์ลงมากระทบร่างจ้าหญิงผมทองที่กำลังคุกเข่าสวดมนต์อยู่เบื้องหน้าแท่นบูชา ดวงตาสีอเมทิสต์จับจ้องอยู่ที่คัมภีร์เล่มเล็กที่ถืออยู่ในมือเรียวอย่างมีสมาธิ
“เจ้าหญิงยังสวดมนต์อยู่อีกเหรอ นี่จะเที่ยงแล้วนะ” ซิสเตอร์เรน่อนกระซิบกระซาบถาม
“ค่ะ เห็นว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันที่ท่านแม่..เอ่อ...ราชินีองค์เก่าสิ้นพระชนม์พอดีเลยต้องสวดนานเป็นพิเศษ รู้สึกจะตื่นมาสวดตั้งแต่ตี 5 แล้ว” ซิสเตอร์แองจี้กระซิบตอบ
“ปรกติเจ้าหญิงก็สวดมนต์วันละ 2 ชั่วโมงเป็นประจำหลังอาหาร 3 มื้ออยู่แล้ว ปล่อยให้สวดไปเถอะคงไม่เป็นไร...” ซิสเตอร์มาทิลด้าตัดบท
แล้วซิสเตอร์ทุกคนก็ออกไป
…………………..
บ่าย 3 โมงแล้ว....
ในที่สุดเจ้าหญิงสโลรี่ก็สวดมนต์เสร็จ
“เก่งจัง....ตั้ง 10 ชั่วโมงแน่ะ” เสียงเบาๆออกทางค่อนข้างโยยวนกวนโทโสดังขึ้นที่ข้างหู
“ใครน่ะ ต้องการอะไร” สโลรี่ตกใจคว้าคทานักบวชมาเป็นอาวุธคู่มือ
“ว้า...โหดจัง...เราคุยกันดีๆก็ได้นี่นา ฉันชื่อลูคัส เป็นเทวดาที่ท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์ของเธอขอร้องให้ช่วยดูแลเธอน่ะ วันนี้แวะมาทักทาย”
ฉับพลันก็มีแสงสว่างเกิดขึ้น.....เทวดาสวมแว่นตาในชุดขาวยาว มีมงคลเทวดาสีเงินอยู่บนศีรษะยืนยิ้มให้อยู่ข้างๆ
“เทวดาที่ไหนผมดำ ตาก็ดำ ปีกยังสีดำอีก ปิศาจปลอมตัวมามากกว่า ที่นี่โบสถ์นะ...จงหายไปซะ นะโมตัสสะ ๆ ๆ ๆ” สโลรี่เริ่มต้นพิธีสวดไล่ปิศาจทันที
“ใจร้ายจัง...ก็มันช่วยไม่ได้นี่นาที่ยายฉันเป็นลูกครึ่งปิศาจ...แต่ถึงหน้าตาฉันเป็นแบบนี้ ฉันก็เป็นเทวดาชั้นสูงนะ” เทวดาลูคัสบ่นกระปอดกระแปดแต่ยังยิ้มได้อยู่
“ฮื่อ...รู้แล้ว..ขอบใจนะ เชิญ!” สโลรี่ไม่ยินดียินร้ายอะไรชี้มือไปที่ประตูทางออก
“โห...ใจร้าย..หมายความว่า..มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยใช่มั้ย ไม่ได้หรอก ฉันทำสัญญากับแม่เธอไว้แล้ว...ยกเลิกไม่ได้”
“จะยกเลิกสัญญาได้ยังไง”
“ฉันต้องคอยดูแลเธอจนกว่าเธอจะยอมให้คัมภีร์มนตร์สวรรค์ที่อยู่ในมือเธอกับฉันไง” ลูคัสพูดยิ้มๆ
ก็มีเทวดาแสนดี...สุดประเสริฐ...เลิศเลอ...เพอเฟกท์อย่างนี้เป็นผู้ดูแล...ใครจะยอมยกเลิกสัญญาให้ฉลาดน้อย..เนอะ จริงมะ
“อ่ะ...นี่...ฉันให้” สโลรี่ยอมฉลาดน้อยยัดคัมภีร์มนตร์สวรรค์ใส่มือเทวดาลูคัสที่ช็อกสนิท
ฮ้าาาาาาาา.........ไม่นะ.......ม่ายยยยยยยย.....
เทวดาลูคัสที่พกความมั่นใจมาเต็มที่...รู้สึกเสียเซลฟ์อย่างแรง
“หมดสัญญาแล้วใช่มั้ย ไปผุดไปเกิดซะล่ะ แล้วฉันจะทำบุญกรวดน้ำไปให้” สโลรี่พูดหน้าตาย (ฉันเป็นเทวดา....เทวดาน่ะรู้จักมั้ย ไม่ใช่ผี - ลูคัส)
“ไม่ ๆ ๆ ไม่ด้ายยยยยย” เทวดาจอมกวนเริ่มงอแงยัดคัมภีร์ตัวปัญหากลับใส่มือเจ้าหญิง
“เธอไม่ใช่คนทำสัญญา เพราะงั้นยกเลิกเองไม่ได้” รู้สึกเทวดาก็มั่วเป็นแฮะ
“เป็นเทวดาแท้ๆหยวนๆหน่อยไม่ได้รึไง แล้วจะเอายังไง” สโลรี่โวยวายหากในน้ำเสียงก็ซ่อนความเหงาไว้ชนิดปิดไม่มิด
ก่อนที่เทวดาจะจนมุม....
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ
“เจ้าหญิง ๆ ๆ ๆ เกิดอะไรขึ้นเพคะ มีใครอยู่ข้างใน ไอบ้านั่นทำอันตรายเจ้าหญิงหรือเปล่า” สามซิสเตอร์แห่งวังหลวงทั้งทุบประตูทั้งแย่งกันถามคำถามอยู่ข้างนอกวุ่นวาย
“งั้น..ไว้ฉันมาใหม่นะ...อ้อ...ระวังตัวหน่อย ตอนนี้ดวงเธอไม่ค่อยดี จะมีคนใกล้ตัวคิดร้าย แต่ไม่ต้องกลัว ฉันจะคอยคุ้มครองเธอเอง....”
เมื่อเทวดาพยากรณ์ลูคัสทำนายดวงชะตาให้เป็นที่เรียบร้อยก็ตั้งท่าจะหายหัว เอ๊ย หายตัวไปตามฟอร์ม
“เดี๋ยว” สโลรี่ยอมเสียหน้านิดหน่อยร้องห้าม
“เหน็บกิน...ลุกไม่ขึ้น ช่วยดึงมือฉันหน่อย อ๋อยยยย....” เจ้าหญิงคนเก่งล้มโครมลงไปกลื้งกับพื้นอย่างน่าสงสาร
.............................................................
“วิเวียน่า จะเอาจริงเหรอ” พ่อมดโรถามซ้ำ
“ก็จริงสิคะ นี่...ยาพิษอย่างแรง...ที่พี่ชายให้สูตรหญิงมาเมื่อ 3 วันก่อน เดี๋ยวหญิงใช้ให้ใครสักคนไปหลอกให้ยัยสโลรี่กินเข้าไปก็เรียบร้อย...จะได้หมดทุกข์หมดโศกตามไปอยู่กับแม่ที่บนสวรรค์โน่น ฮิ ๆ ๆ ๆ ๆ” วิเวียน่าหัวเราะชอบอกชอบใจ
“มันจะไม่ออกนอกหน้าไปหน่อยเหรอ แค่เจ้าหญิงเล็กๆที่ถูกลืมทิ้งไว้ในโบสถ์ ป่านนี้คิงริชาร์ดลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเคยมีลูกสาวน่ะ” โรยังลังเล
“เอ๊...นี่หญิงเรียกพี่ชายมาช่วยหญิงกำจัดศัตรูนะ ไม่ใช่ให้มาเทศนา...น่ารำคาญ” น้องสาวที่แสนดีเท้าสะเอวก่อนขึ้นเสียงใส่ตวาดแว้ดดดดด..เข้าให้
“ใครจะว่ายังไงหญิงไม่สนใจ แต่ถ้ามาร้ายเกินหน้าเกินตาหญิงล่ะก็...มันตายก่อน! ยิ่งเป็นยัยสโลรี่ด้วย...เกิดมันมาแย่งบัลลังก์แอเรียสของหญิงไปจะว่าไง เอาเถอะ...ถ้าพี่ชายไม่อยากลงมือเอง ก็ไม่ต้องทำ ” วิเวียน่าสะบัดหน้าไปอีกทางแล้วเรียกหาเอ็ดเวิร์ด ลอเรนโซ่องครักษ์ประจำตัวคิงแห่งแอเรียส
ในเวลาแค่เสี้ยววินาที โรใช้ความเร็วแบบสปีดไวกว่าน.ร.ก.แอบหยดของเหลวข้นๆลงในถ้วยยา (มือไวพอๆกับพวกหัวขโมยเลยแฮะ เก่งจริงๆ...เราเนี่ย - โร)
………………………….
“เจ้าหญิงเพค้าาาาา....เจ้าหญิงสโลเรนนนนนนนนนซ์” สุ้มเสียงตื่นเต้นดีอกดีใจผิดปรกติของซิสเตอร์ทั้งสามดังมาก่อนเห็นตัว ทำให้สโลรี่ที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทายากันเข่าด้านจากการคุกเข่าสวดมนต์นานๆหันมามองอย่างประหลาดใจ
วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของเจ้าหญิง...พวกซิสเตอร์ต้องเข้าวังหลวงไปถวายรายงานการเลี้ยงดูปีละครั้ง
“กลับจากวังหลวงกันแล้วเหรอคะ ท่านพ่อ..เอ้ย...คิงริชาร์ดมีรับสั่งว่าอะไรบ้าง”
“ท่านพ่อ...คิงริชาร์ดน่ะ ส่งยาบำรุงตำรับพิเศษมาให้แน่ะ” ซิสเตอร์เรน่อนไม่ตอบคำถามกลับทำท่าขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าก่อนจะยื่นถ้วยยาให้
สโลรี่รับถ้วยยามาดมๆอย่างระแวงปนสงสัย
“กินแล้วจะตายรึเปล่า...”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิเพคะ ก่อนออกจากวังน่ะ...ท่านเอ็ดเวิร์ดนำมาให้ด้วยตัวเองเชียวนะ รีบดื่มเร้ว” ซิสเตอร์แองจี้คะยั้นคะยอ (แง้...เค้าถูกหลอกใช้ – เอ็ดเวิร์ด)
“เอาไว้ก่อน” สโลรี่ชักไม่แน่ใจ “อยากกินเมื่อไหร่ฉันจะกินเอง...อย่าบ่นมากไม่งั้นเททิ้งสถานเดียว”
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ พวกเรา...จัดการ” สามซิสเตอร์ช่วยกันคนละไม้คนมือ แองจี้กับมาทิลด้าล็อกตัวเจ้าหญิงผู้โชคร้ายไว้ไม่ให้ดิ้นรนต่อสู้ ขณะที่เรน่อนคว้าถ้วยมาไว้ในมือ
“อโหสิให้พวกเราเถอะนะ นี่คือคำสั่งของควีนวิเวียน่า” เรน่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเพราะถูกสะกดจิต
ยาพิษสีเข้มเขียวรสชาติฝืดเฝื่อนจัดบาดคอถูกกรอกเข้าปากอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า...โลกก็มีแต่สีดำ……
.......มืดมิด........
............................................
OH! My God !
“เวรล่ะสิ เวรกรรมจริงๆ อะไรกัน ฉันแค่แวบกลับไปบนสวรรค์แป้บเดียวเองอ่า....มันเกิดอะไรขึ้น อ้ากกกกกกกกกกก!”
ลูคัสที่หอบหิ้วเอากล่องขนมเค้กฟักทองใส่มูสวาซาบิโรยหน้าด้วยขิงขูดฝอยแฮนด์เมดฝีมือตัวเองล้วนๆกลับมาที่โบสถ์เพื่ออวยพรวันเกิดครบรอบ 16 ปีให้สโลรี่ถึงกับช็อกสนิทก่อนจะโผผวาถลาเข้ามาประคองร่างเจ้าหญิงแห่งแอเรียสที่ลงไปนอนนิ่งกับพื้นห้องไว้ ข้างๆกันเป็นสามซิสเตอร์ที่สลบเหมือดเพราะคาถาสะกดจิตหมดฤทธิ์
“สโลรี่ ตายรึยังเนี่ย...ซวยสิตู ถ้ารู้มาก่อนว่าจะตายเร็วแบบนี้ฉันไม่รับเป็นผู้ดูแลเด็ดขาดเลย งานนี้สงสัยถูกพระเจ้าตัดเงินเดือน ลดโบนัส แถมมีสิทธิไม่ได้เลื่อนขั้นด้วยแหงๆ ดีไม่ดีถ้ายัยเจ้าหญิงนี่เกิดได้ขึ้นสวรรค์ขึ้นมา..คงไปซุ่มแอบดักซ้อมฉันอยู่ที่ไหนสักแห่งอีกตะหาก เฮ้อ..รู้งี้น่าจะอุ๊บอิ๊บคัมภีร์มนต์สวรรค์ไว้ตั้งแต่เมื่อวานซืน ลูคัสผู้น่าสงสารช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้....”
ขณะที่ลูคัสเผลอตัวระบายความในใจยืดยาวตามประสาเทวดาที่ดีก็มีชายหนุ่มชุดขาวปรากฏตัวขึ้น
“ยัง...ยังไม่ตายหรอก นายคงเป็นเทวดาผู้ดูแลสินะ วางใจเถอะ เจ้าหญิงสโลรี่ยังไม่ตาย แค่ดูเหมือนตายเท่านั้น” (มันก็ไม่แน่ ถ้าต้องกินไอเค้กประหลาดนั่นเข้าไปอาจได้ตายจริงๆ – สโลรี่)
“นาย...พ่อมดขาว ? ” เทวดาผมดำตาดำจ้องเป๋งไปที่พ่อมดผมสีชาตาสีเขียว
“ฉันชื่อโร เป็นพี่ชายแท้ๆของราชินีวิเวียน่า...เฮ่อ! ก็แม่มดดำวิเวียน่าน่ะแหละ คนเดียวกัน” โรถอนหายใจเฮือกก่อนตอบคำถาม “ที่วิเวียน่าวางยาสโลรี่เพราะกระจกวิเศษบอกว่าเจ้าหญิงคือคนที่ร้ายกาจกว่าตัวเอง แต่ฉันใส่บางอย่างเพิ่มลงไปทำให้ฤทธิ์ยาอ่อนลงเหลือแค่หมดสติไปสักวันสองวันเท่านั้น”
“ทำไมนายถึงช่วยเรา” เมื่อแน่ใจว่าสโลรี่ยังไม่ตายจริงๆ ลูคัสก็รีบสวมบทบาทเทวดาผู้ดูแลทันที
“ก็ถ้าวิเวียน่าฆ่าใครแม้แต่คนเดียว..เธอจะเป็นแม่มดดำไปตลอดกาล ฉันอยากเปลี่ยนน้องสาวให้กลับเป็นแม่มดขาวเหมือนเดิม คราวที่แล้วฉันทำพลาดเลยถูกขังไว้ในกระจก แต่คราวนี้ฉันต้องทำสำเร็จแน่ ที่ช่วยนี่ก็เพราะฉันอยากให้นายพาเจ้าหญิงออกไปจากที่นี่..เข้าไปในป่าลึกทางเหนือก็จะพบบ้านของพวกคนแคระ พักอยู่ที่นั่นจนกว่าฉันจะจัดการกับวิเวียน่าเรียบร้อยค่อยกลับออกมา” โรยื่นข้อเสนอ
“ทำไม” เทวดายังสงสัย
“ก็ถ้าเทียบกันแล้ว..ระหว่างสโลรี่กับวิเวียน่า อย่างน้องสาวฉันน่ะเรอะจะสู้รบปรบมือกับยัยเจ้าหญิงตัวร้ายนั่นได้ แล้วนี่..วิเวียน่าเป็นฝ่ายลงมือก่อน เมื่อสโลรี่ฟื้นขึ้นมาคงไม่อยู่เฉยๆหรือปล่อยคู่อริเอาไว้ให้รกหูรกตาเล่น ฉันว่าวิเวียน่ามีสิทธิ์ได้ตายก่อนกลับเป็นแม่มดขาวชัวร์ๆ”
“ฉันเข้าใจ” ลูคัสพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะทำตามข้อตกลงด้วยการอุ้มสโลรี่ขึ้นก้าวเดินออกไป
…………………………………..
2 วันผ่านไป....
‘ที่นี่...ที่ไหน’ สโลรี่ลืมตาขึ้นช้าๆพร้อมอาการปวดหัวตุบๆ
‘ยาพิษ พวกซิสเตอร์ ยาพิษ...วิเวียน่า....ฝีมือยัยราชินีตัวแสบล่ะสิ...หนอย...ต่างคนต่างอยู่ฉันไม่ว่า นี่อยากมาตามรังควานฉันก่อน เราสองคนคงต้องมีใครตายกันไปข้างนึง..’
เมื่อทวนความจำเรียบร้อย ก็ได้เวลา‘ปฏิบัติการชำระแค้น’
แต่ว่า......
โครม!
เพราะเพิ่งฟื้นจากฤทธิ์ยา เจ้าหญิงคนสวยของเราเลยหน้ามืดกลิ้งโค่โร่ตกเตียงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
“ตื่นแล้วเหรอ” ลูคัสที่ได้ยินเสียงรีบเสนอหน้าเข้ามาพร้อมใครก็ไม่รู้ไม่คุ้นหน้าอีก 2 คน
“อ๊ะ...อย่าเพิ่งขยัยตัวมากสิ เธอยังไม่หายดีเลย” คนตัวเล็กๆที่มีผมและตาสีน้ำตาลไหม้ ใส่แว่นตากรอบกลมบางๆอย่างที่ผู้คงแก่เรียนทั้งหลายนิยมกันพูดขึ้นพร้อมๆกับช่วยคนตัวเล็กอีกคนประคองสโลรี่ให้นั่งพิงเอนๆกับหัวเตียง ขณะที่ลูคัสคว้าผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างเบามือ (กลัวเช็ดแรงไปจะโดนหลังมือกลับมาอ่ะดิ - ลูคัส)
“ฉันอยู่ที่ไหน พวกเธอเป็น...”
“คนแคระไง” คนใส่แว่นตอบพร้อมแนะนำตัวเสร็จสรรพ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อเฟริน ส่วนคนผมสีเงินนั่นชื่อคาโล”
“หิวมั้ย” คาโลเงยหน้าขึ้นถาม เพราะตาสีฟ้าแจ๋วเหมือนเด็กๆคู่นั้นแท้ๆสโลรี่เลยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ที่สำคัญเจ้ากระเพาะตัวดีดันฉีกหน้าเจ้าของซะนี่
จ๊อกกกกก.............
เสียงท้องร้องได้ยินกันถ้วนทั่ว
“ป่านนี้อาเธอร์น่าจะทำมื้อเย็นเสร็จแล้วนะ ฉันจะไปเอามาให้” คาโลอาสาพร้อมหันไปอ้อนคู่หู
“นายก็ไปกับฉันนะเฟรินนะ นะ นะ น๊ะ...”
“ไม่ว้อย ครัวอยู่ใกล้แค่นี้ ถ้าหลงไปไม่ถูกก็อดข้าวตายซะเถอะ” เฟรินปฏิเสธอย่างสิ้นไร้เยื่อใย
“ก็เค้าอยากให้ไปด้วยกันนี่นา ไปด้วยกันเหอะ” คาโลจอมอ้อนยังไม่ละความพยายามง่ายๆ “จะได้ช่วยกันยกอาหารมาเยอะๆไง ไปช่วยกันหน่อยน่านะ” (นี่นายกะหลอกใช้แรงงานฉันนี่หว่า – เฟริน)
“ก็ได้” พอเจอลูกตื๊อมากๆเข้า เฟรินก็ยอมเดินหน้าหงิกออกไปโดยมีคาโลเกาะชายเสื้อเดินรั้งท้ายพร้อมยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจตามไป
ลูคัสเลยได้จังหวะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...
“ก็ได้ ฉันจะทำตามที่พ่อมดนั่นขอร้อง แต่มีข้อแม้ว่า...ถ้ายัยวิเวียน่าโผล่มาหาเรื่องฉันถึงที่นี่ก่อนล่ะก็...” สโลรี่กัดฟันพูดแต่น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวอยากประกาศสงครามใจแทบขาด
แอ๊ด........
ประตูเปิดออกพร้อมกับที่คนแคระผมสีน้ำตาลไหม้ มีผ้าปิดตาข้างนึงเยี่ยมหน้าเข้ามามอง
“ว่าไง ครี้ด” ลูคัสรีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“อื้ม..เจ้าหญิงพอลุกไหวมั้ยครับ วันนี้อาเธอร์ทำสุกิยากี้น่ะ ออกมาทานด้วยกันข้างนอกได้บรรยากาศดีกว่านะฮะ” คนแคระผู้สุภาพเรียบร้อยและพูดเพราะที่สุดในกลุ่มยิ้มบางๆให้ก่อนจะหุบยิ้มแล้วทำหน้าเบื่อๆเมื่อได้ยินเสียงโวยวายสลับเสียงร้องไห้ดังมาจากหน้าบ้าน
“สงสัยโรเวนแกล้งอาเธอร์อีกแล้ว ไม่ไหวเลยจริงๆ” ครี้ดบ่นก่อนจะเดินออกไปห้ามทัพทิ้งให้ลูคัสจัดการพยุงสโลรี่ออกจากห้องคนเดียว
“หยุด! หยุดเลย จะทำอะไรของนาย ปล่อย บอกให้ปล่อย” เสียงเจ้าหญิงตวาดแว้ด ดวงหน้าเริ่มขึ้นสีจางๆเมื่อถูกยกตัวลอยขึ้น เสียงหัวเราะเบาๆดังอยู่ข้างหู
“อยู่นิ่งๆน่า ขืนให้เดินเองจะได้ลงไปกองกับพื้นให้ขายหน้าเขาอีก อื้มม....ตัวหนักเหมือนกันนะเธอนี่”
เพราะเจ้าเทวดาดันปากเบากะทันหัน บรรยากาศที่ออกจะเป็นสีชมพูหน่อยๆเลยหายไปในพริบตา
“งั้นก็อุ้มให้มันดีๆสิ ลองฉันหล่นลงไปกระแทกพื้นหรือทำแขนขาฉันกระแทกกับอะไรเข้าล่ะก็....โดน!” เจ้าหญิงขู่ฟ่อเพราะใช้โมโหดับอาย
.................................
ที่โต๊ะอาหารด้านนอก เต็มไปด้วยจานใส่ผักสดสารพัดชนิด เนื้อสัตว์หั่นบางๆ ลูกชิ้น ไข่ไก่ วุ้นเส้น ฯลฯ วางเรียงรายอยู่เต็มพิกัด มีคนแคระอีก 5 คนนั่งประจำที่คอยน้ำซุปหม้อใหญ่ที่คนแคระผมดำ ตาดำ ใส่ผ้ากันเปื้อนสวมหมวกกุ๊กหน้าตาเหยเก..น้ำตาจวนจะหยดอยู่รอมร่อถือค้างอยู่ในมือ กลิ่นหอมของน้ำซุปลอยขึ้นเตะจมูกจนคนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตลอด 2 วันต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึก
“โอ๊ย! หิว เหนื่อย..ต้องรออีกนานมั้ย...เมื่อไหร่จะได้กิน” ชายผมสีน้ำตาล ตาสีเดียวกันกระทืบเท้าโครมๆด้วยความหงุดหงิดพร้อมๆกับกระแทกชามอาหารเปล่าๆลงกับโต๊ะด้วยความไม่พอใจ
“ใช่ ฉันทำงานมาเหนื่อยๆก็อยากกินข้าวแล้วก็นอน...นายยังจะมาหาเรื่องแกล้งอะไรให้มันยุ่งยากวุ่นวายหาโรเวน ต้องให้อาเธอร์ไปทำกับข้าวอย่างอื่นมาให้ถูกใจนายเรอะไง ฮึ่มมมมมมม...นายก็เหมือนกัน อาเธอร์...จะกลัวอะไรนักหนา รีบๆวางหม้อลงน่า” ชายร่างเล็กบาง ผมสีเงิน ตาสีเขียวโวยวายโว๊กเว๊ก
“ไม่ได้หรอก ซีบิล กัส พวกนายเงียบๆไปเลย ฉันต้องตรวจดูให้แน่ว่าอาหารนี่ตรงตามที่ฉันสั่งไว้มั้ย ก็รู้ๆกันอยู่นี่ว่าฉันไม่ชอบกินข้าว เฟรินไม่กินก๋วยเตี๋ยว ซีบิลไม่ชอบผัก คาโลเป็นมังสวิรัติ กัสก็แพ้อาหารทะเล ครี๊ดก็ไม่ชอบอะไรหวานๆ...วันนี้เรามีแขกพิเศษ อาตี้ถึงต้องทำอาหารที่พวกเราทุกคนกินด้วยกันได้ รู้มั้ยว่าเวลาทะเลาะกันเรื่องของกินน่ะเสียมารยาทออก น่าอายมากด้วย” โรเวนผู้มีผมกับตาสีน้ำเงินและท่วงท่าที่แสนจะมั่นใจในตัวเองสุดๆตอบหน้าตายแล้วยังเถียงฉอดๆไปแบบข้างๆคูๆ
“ฮึก ๆ ๆ ฮืออออออออ” เสียงสะอึกสะอื้นดังมาจากพ่อครัวตัวจิ๋ว
สุดที่สโลรี่จะทน (หิว) ไหว....
เฟี้ยว......ฉึก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
มีดบิน 7 เล่มปักลงบนโต๊ะในตำแหน่งที่วางช้อน...แม่นอย่างกับจับวาง
“ถามจริงๆ...พวกนายเคยได้ยินนิทานเรื่อง “หม้อซุปฆ่าคนแคระ” มั่งมั้ย” สโลรี่ถามเสียงหวานพร้อมรอยยิ้มแบบกัดไม่ปล่อย
“มะ...มะ...ไม่...ไม่ ไม่เคยได้ยิน” คนแคระทั้งเจ็ดสมัครสมานสามัคคีกันสั่นหัวไปมาอย่างพร้อมเพรียง (เคยได้ยินแต่‘กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่’อ่ะ – เฟรี่)
“อยากลองฟังดูมะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังเอง”
“ม่ายยยยยยยย”
“แล้วสุกี้เนี่ย..จะกินหรือไม่กิน”
“กินจ้ะ” พวกคนแคระจ๋อยรับประทานกันเป็นทิวแถว
“ดี...นายน่ะหยุดร้องไห้ซะ แล้วรีบๆวางหม้อลง” สโลรี่สะบัดหน้าพรืดแล้วหันไปสั่งพ่อครัว
“คือว่า...สุกี้ไม่ใช่ข้าวนะ..โรเวนกินได้แน่ๆอย่าทำตัวมีปัญหา เฟรินไม่ชอบก๋วยเตี๋ยวก็ลวกเครื่องกินกับน้ำจิ้มไม่ต้องใส่น้ำห้ามเรื่องมาก คาโลไม่กินเนื้อก็กินผักแทนได้ ซีบิลไม่ชอบผักก็กินเนื้อไป กัสแพ้อาหารทะเลก็ทำเป็นมองไม่เห็นปลาหมึกขาวๆชิ้นเบ้อเริ่มนั่นแล้วกัน ทุกคนตักใส่ถ้วยส่วนตัวปรุงเอาเองไม่ชอบหวานก็อย่าใส่น้ำตาล...โอเคนะครี้ด เอาล่ะ...ลงมือได้เลย แต่ให้เลดี้เฟิร์สนะ” พ่อครัวอาเธอร์วางหม้อลงบนโต๊ะ เปิดฝาออกแล้วยื่นทีพพีกับตะแกรงให้เจ้าหญิงจอมเผด็จการที่นั่งเป็นประธานอยู่ที่หัวโต๊ะก่อนเป็นคนแรกอย่างเอาใจ (ขอบคุณที่ช่วยอาตี้นะ – อาเธอร์ / ไม่เป็นไร ขอผักเพิ่มอีกหน่อยสิ – สโลรี่)
นานวันเข้าเหล่าคนแคระก็รู้ได้ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดว่า “เจ้าหญิงไม่ได้เพอเฟกท์เสมอไปทุกคน” โดยเฉพาะสโลรี่แห่งแอเรียสผู้อ่อนหวาน (เพราะขาดน้ำตาลอย่างแรง - ลูคัส) เป็นเหตุให้เฟรินเกิดคำถามคาใจขึ้นมา
“ถามจริงๆเถอะนะลูคี่ ทำไมเจ้าหญิงที่สุดแสนจะเข้มแข็งและเก่งกาจอย่างสโลรี่ถึงได้มีเทวดาผู้ดูแลที่แสนจะไม่ได้ความ ไม่ได้เรื่องได้ราวและไร้ประโยชน์อย่างท่านได้ล่ะ” (โห! ถามซะเสีย เดี๋ยวพ่อสาปซะนี่ - ลูคัส)
“แหม...ก็...” ลูคัสทำท่าบิดไปบิดมาก่อนจะกระซิบกระซาบตอบด้วยเสียงดังจนได้ยินกันทั้งบ้านด้วยความตื่นเต้น
“รู้แล้วก็เหยียบไว้เลยนะเฟรี่.....ก็เพราะความอ่อนโยน การดูแลเอาใจใส่อย่างดีเยี่ยมและความรักอันบริสุทธิ์ของลูคัสแสนดีคนนี้น่ะสิ สโลรี่ถึงทั้งรักทั้งปลื้ม เห็นเค้าร้ายๆอย่างเนี้ย..แต่ขาดฉันสักวินาทีนึงก็ไม่ได้”
“ความรักอันบริสุทธิ์....” เฟรินตาโตทวนคำด้วยความอึ้ง
“ขาดไม่ได้....” พวกคนแคระที่แอบฟังอยู่พึมพำต่อ
“เป็นไปได้รึเนี่ย...ทำได้ยังไงอ่ะ” เฟรินชักทึ่ง
“ความลับ” ลูคัสเล่นตัวซะงั้น “อ้าว! ยังเล่าไม่จบเลยจะรีบไปไหนกัน”
อยู่ดีๆคนแคระทั้งเจ็ดก็แตกกระเจิงวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ทิ้งให้เทวดายืนงงอยู่กลางห้องก่อนจะกลืนน้ำลายเอื้อกแล้วหันมาข้างหลัง
“นายพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่...ไอเทวดางี่เง่า” สโลรี่ยืนส่งยิ้มหวานปานมีดบินอาบยาพิษมาให้
“สะ...สโลรี่กลับมาเร็วจัง ไหนว่าจะไปเก็บแอปเปิ้ลในป่าไม่ใช่เหรอ” ลูคัสทำท่าไขสือและใจดีสู้เสือไปพร้อมๆกันแต่ดูแล้วไม่ค่อยแนบเนียนเท่าไหร่
“ฉันลืมของ...เลยได้ยินอะไรที่นายพูดเมื่อกี๊นี้ ใคร...ใครทั้งรักทั้งปลื้มกับรักอันบริสุทธิ์จนขาดนายไม่ได้สักวินาทีกัน...หา ตอบให้ดีๆนะ ไม่งั้นแกได้ตายรอบสองแน่ ว่าไง” สโลรี่กระชับมีดบินคมกริบนับสิบเล่มในมือ
“ยะ...อย่าสู้กันเลยนะ เดี๋ยวมีดบาดมือ เจ็บออก” คาโลที่หลบอยู่ข้างหลังเฟรินทำใจกล้าเสนอตัวเป็นผู้ยุติสงคราม
“ก็อยากพูดมาก มั่วซั่วเองทำไมล่ะ ได้ยินมั้ยลูคัส อย่าไปหลบอยู่ข้างหลังกัสกับซีบิล รีบๆออกมาให้ฉันขว้างมีดใส่แบบจะๆซะดีๆ แน่จริงออกมา....”
“ฮือ....ไม่นะ ช่วยด้วยซีบี้ กัสซี่ สโลรี่จะฆ่าชั้นแล้ว” ลูคัสใช้ซีบิลกับกัสเป็นโล่กำบัง (ซวยสิเรา – ซีบี้ขี้โมโห / ฉันยังไม่อยากตาย – กัสซี่จอมโวยวาย)
“พวกเราได้เวลาไปทำงานแล้ว ไปกันยังงงงงงง เร้วววววว....” ยังไม่ทันขาดคำพูดของโรเวนเลย พวกคนแคระทั้งหมดก็รีบตัดช่องน้อยหนีเอาตัวรอดไปทันที เหลือเทวดาผู้น่าสงสารอยู่คนเดียว
“แง....เค้าผิดไปแล้ว เค้าขอโต้ดดดด เค้าเสียจายยยยยยยย” ลูคัสที่กลัวตายรอบสองร้องไห้โฮเอาดื้อๆ
“ฮึ...งั้นนายเป็นคนทำอาหารมื้อเย็นวันนี้นะ” สโลรี่โบ้ยงานที่ตัวเองรับผิดชอบให้หน้าตาเฉย
“ง่า...ฉันทำกับข้าวไม่เป็น แต่...ลองดูก็ได้” ลูคัสอิดออดเล็กน้อยก่อนจะยอมทำตามคำสั่งเมื่อเห็นเงาสะท้อนแสงวับๆของมีดบิน
แล้วเทวดาจอมกวนก็เริ่มลงมือทำอาหารในขณะที่เจ้าหญิงจอมแสบจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน
“โอ๊ยยยยย...ช่วยด้วย” ลูคัสร้องลั่นก่อนจะเข่าอ่อนยวบจนต้องทรุดลงนั่งกับพื้น
“เป็นไรอีก...รีบๆทำเข้าน่า อย่าอู้” สโลรี่ยังกวาดพื้นต่อไป..ไม่สนใจเลยสักนิด
“นิ้ว...นิ้ว...นิ้วฉันหายอ่า....มีดบาดนิ้วขาดกระเด็นหายไปไหนไม่รู้”
“ฮ้า..นิ้วขาด” สโลรี่ตกใจรีบวิ่งเข้ามาในครัว
“ไหนๆ ขอดูซิ แล้ว...แล้ว...นิ้วหายไปไหนล่ะ” ร้อยวันพันปีสโลรี่จะสติแตกสักครั้งเมื่อเห็นลูคัสเอาผ้าเช็ดมือโชกเลือดพันมือที่มีนิ้วเหลือแค่ 4 นิ้วไว้
“ไม่รู้จิ ก็บอกแล้วว่าทำกับข้าวไม่เป็น..ยังบังคับเค้าอยู่ได้ มีดก็คมจะตาย หั่นไปหั่นมารู้ตัวอีกทีก็...ฉับ!” คนเจ็บบ่นบู้บี้
“แล้ว..แล้วจะทำไงล่ะ ใช้เวทย์มนตร์เสกให้นิ้วงอกออกมาเหมือนเดิมได้มั้ย” สโลรี่นึกไปถึงบรรดาเทพนิยายที่แม่เคยเล่าให้ฟังตอนเด็ก
“เทวดานะแม่คุณ...ไม่ใช่จิ้งจกหางขาดจะได้งอกหางใหม่ได้” เทวดาแท้ๆถอนฉุน
“งะ..งั้นไปหาหมอ...เดี๋ยว มือที่เจ็บนั่นมือขวา” สโรเรนซ์ชักเอะใจ...
มีบางอย่างผิดปรกติแน่ๆ.....จริงๆด้วย
“ไอเทวดากะล่อน แกถนัดขวาไม่ใช่เรอะ มือขวาถือมีดแล้วมันจะตัดนิ้วขาดได้ไงกัน” เจ้าหญิงตวาดแว้ดดดดด...ไม่รู้ว่าเพราะดีใจหรือโล่งใจกันแน่
แป่วววววว.....
‘ชะอุ่ย....ซวยล่ะสิ ดันทาสีกับพันผ้าผิดมือ’ ลูคัสใจหายวาบ....
“เอามือออกมา เอาผ้าที่พันไว้ออกด้วย เร็ว ถ้านิ้วยังอยู่ดีนะฉันจะช่วยทำให้หายไปเอง” สโลรี่คว้ามีดมาถือไว้ในมือ
“แหะ ๆ ๆ เอ่อ..คือว่า...คือ...เอ่อ...คือว่า...นะ...ง่า...เค้าผิดไปแย้ว เค้าขอโทษ...ก็เค้าทำกับข้าวไม่เป็นนี่” ลูคัสยอมรับสารภาพแต่โดยดีด้วยการชูมือขวาที่ยังสมประกอบกับผ้าเช็ดมือเปื้อนน้ำหวานสีแดงให้ดูเป็นหลักฐานพร้อมหลับตาปี่เตรียมหลบทอร์นาโดมีดบิน
“ถอยไป...ไปกวาดพื้นกับรดน้ำต้นไม้แทน..โน่น”
“อะไรนะ” จำเลยเป็นงงที่อยู่ๆโจทก์ก็ประนีประนอมยอมความโดยง่าย
“ไม่ได้ยินรึไง...เดี๋ยวฉันทำกับข้าวต่อเอง ขืนใช้ให้นายทำต่ออาจได้นิ้วขาดจริงๆ” สโลรี่สะบัดหน้านิดนึงแล้วลงมือหั่นผักต่อ...แค่นี้ก็เรียกรอยยิ้มสว่างจากทั้งริมฝีปากและดวงตาของเทวดาได้แล้ว
“เป็นห่วงเค้าก็บอกมาตรงๆเหอะน่า”
“ใครห่วงนายไม่ทราบ...เห็นแก่ที่คอยดูแลมาตั้งแต่เด็กล่ะไม่ว่า” คำตอบกลับเป็นงั้นไป
“คนปากแข็ง” เทวดาบ่นหงุงหงิงไม่จริงจังนัก
“ไม้กวาดอยู่ไหน..อ้อ...เหวอ! มีอะไรอีก ก็เค้าขอโทษแล้วไง” เทวดาโวยวายเมื่อมีดบินพุ่งผ่านแบบเฉียดฉิวไปปักทะลุผนังบ้านด้านหลัง
“อย่าขว้างมีด..ฉันมาดี นี่ฉันเอง..โรไง” ร่างขาวๆปรากฏพรวดออกมาพลางร้องห้ามดังลั่นบ้าน
“นายนี่ชอบย่องมาข้างหลังเงียบๆไม่ให้สุ้มให้เสียงทุกที” ลูคัสยัวะจัด (เพราะนาย..ฉันเกือบโดนมีดตัดขั้วหัวใจแล้วมั้ยล่ะ – ลูคี่)
“ก็ว่าจะบอกอยู่เหมือนกัน แต่เห็นบรรยากาศกำลังดีเลยไม่อยากเป็นก.ข.ค.เข้ามาขัดจังหวะน่ะ เลยไปยืนหลบๆอยู่แถวหลังๆ” เจ้าพ่อมดจอมยุ่งยิ้มกริ่ม
“มีอะไรว่ามา” สโรเรนซ์ที่หน้าขึ้นสีเรื่อๆเล็กน้อยรีบเปิดประเด็น
“เชิญเจ้าหญิงกลับวังหลวงได้แล้วล่ะ ตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมานี่ฉันทำให้วิเวียน่ากลับเป็นแม่มดขาวเหมือนเดิมได้แล้ว เธอเสียใจกับทุกๆสิ่งที่ทำลงไป..เลยจะวางมือทุกอย่างแล้วกลับไปอยู่บ้านเดิมที่เวนอลเป็นการขอโทษ นี่ก็แกล้งทำเป็นป่วยหนักจนตายพร้อมๆกับใช้เวทย์ล้างสมองและปลดปล่อยคนอื่นๆที่ถูกหลอกใช้หรือรู้ว่าวิเวียน่าเคยทำอะไรร้ายๆไว้มั่งก่อนจะจากไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้คิงริชาร์ดคงเศร้าใจน่าดู..แต่อีกไม่นานอาจจะไปขอลูกสาวใครมาเป็นราชินีคนใหม่อีกก็ได้” โรอธิบายคร่าวๆ
“นายทำได้ยังไง” ทั้งสโลรี่และลูคัสถามพร้อมกัน
“จริงๆมันฟลุ๊กมากกว่านะ พอลูคัสอุ้มเจ้าหญิงจากไป ฉันก็ต้องจัดการกลบเกลื่อนหลักฐานด้วยการลบความจำซิสเตอร์ทั้งสามแล้วเขียนจดหมายบอกว่าเจ้าหญิงจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมที่ท่านแม่เคยอยู่สักพัก พอดีเหลือบไปเห็นกล่องขนมเค้กวางอยู่กล่องนึงเลยเอากลับไปที่วัง นางกำนัลอาชูร่าคงนึกว่าเป็นเครื่องว่างเลยเอาไปให้วิเวียน่าที่กำลังดีใจสุดขีดเพราะกระจกกลับมาให้คำตอบว่าตัวเองร้ายที่สุดอีกครั้งก็เลยลืมตัวซัดเข้าเค้กเข้าไปเกือบหมด แป๊บเดียวก็เป็นลมล้มตึงไปเลยไม่รู้เป็นเพราะอะไร ฉันเลยใช้เวทย์มนตร์กับน้องสาวได้สำเร็จน่ะ อืมมม...ต้องขอบคุณเจ้าของเค้กก้อนนั้นนะ เป็นเค้กประหลาดๆรสฟักทองใส่มูสวาซาบิโรยหน้าด้วยขิงขูดฝอย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละ ใครเอามาให้น่ะเจ้าหญิงรู้มั้ย” (เธอกินเข้าไปได้ยังไงเกือบหมดน่ะ เกือบตายไม่รู้ตัว – โร / ก็หญิงไม่รู้นี่คะ นึกว่าเค้กสูตรใหม่ของห้องเครื่องนี่– วิเวียน่า)
“เค้กเหรอ ? ไม่รู้สิ ไม่เห็นมีใครเอาอะไรมาให้นี่” สโลรี่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่ากล่องเค้กมาอยู่ในห้องได้ยังไง
‘อะจึ๋ย...กรรมแย้ว’ ลูคัสแอบทำหน้าหวาดเสียวแล้วรีบปั้นหน้าไร้เดียงสาเอาตัวรอด
“ฮึ่มมม....นอกจากวิเวียน่าแล้วยังจะมีใครบังอาจวางยาสโลรี่คนนี้อีกเหรอ..อย่าให้รู้นะว่าใคร….ตาย!” สโลรี่หมายมั่นปั้นมือ
“นั่นสิ...ส่งของแบบนั้นมาให้คงไม่ได้หวังดีแน่ๆ ยังไงเจ้าหญิงก็ระวังตัวหน่อยล่ะ ฉันกับน้องสาวไปล่ะนะ ลาก่อน..ลาแล้วลาเลย...ลาขาด หวังว่าชาตินี้เราคงไม่ได้พบกันอีก” เสียงหัวเราะเบาๆกับชายเสื้อคลุมสีขาวสะอาดของโรจางหายไปอย่างรวดเร็วก่อนที่มีดบินจะทันล็อกเป้าหมาย
.....................................
เช้าวันรุ่งขึ้น สโลรี่ก็ลาพวกคนแคระเพื่อเดินทางกลับวัง
“แล้วมาอีกนะ มาเยี่ยมพวกเราบ่อยๆนะ” อาเธอร์จอมขี้แยร้องไห้โฮพลางเกาะชายกระโปรงสโลรี่ไว้แน่น ทั้งๆที่โรเวนจอมแกล้งแอบสั่นหัวไปมาอยู่ข้างหลัง (ขืนมาบ่อยๆฉันจะหาเรื่องแกล้งอาตี้ได้ยังไง – โรเวน / เค้าจะฟ้องสโลรี่ – อาเธอร์)
“นั่นสิ ห้ามลืมพวกเรานะ” คาโลจอมอ้อนที่ร่วมด้วยช่วยกันจัดตั้งสมาคมคนแคระเจ้าน้ำตาก็ช่วยดึงชายกระโปรงอีกด้านไว้ด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาก็ไม่วายดึงชายเสื้อเฟรินจ้าวแห่งหนอนหนังสือที่วันนี้หยุดอ่านตำราครึ่งวันเพื่อมาส่งแขก ข้างๆเป็นครี้ดผู้เรียบร้อยกำลังยกผ้าเช็ดหน้าลูกไม้ถักขึ้นซับน้ำตา
ซีบิลขี้โมโหกับกัสจอมโวยวายช่วยกันยกห่อผ้าใส่ของใช้ของสโลรี่มาให้เงียบๆ (จะไปแล้วๆ ดีใจจริงๆ คราวนี้จะโมโหจะโวยวายก็ไม่ต้องกลัวภัยมีดบินอีกต่อไป – ซีบิลแอนด์กัส)
“ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ต้องขอขอบคุณมากๆ ไปนะทุกคน แล้วจะมาเยี่ยมบ่อยๆ” สโลรี่โบกมืออำลาแล้วออกเดินทาง
พอพ้นจากบริเวณบ้านของคนแคระทั้งเจ็ด ก็เป็นแนวต้นไม้โปร่งๆสีเขียวสด สโลรี่ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง...เมื่อถึงต้นไม้ต้นแรก
เทวดาสวมแว่นตาผมดำ ตาดำ ปีกก็ยังดำ แต่ดันใส่ชุดสีขาวยาว มีมงคลเทวดาสีเงินอยู่บนศีรษะยืนพิงต้นไม้อยู่อย่างงอนๆ
“ดีใจด้วยนะเจ้าหญิงสโลรี่ ต่อไปนี้เธอคงดูแลตัวเองได้..ไม่จำเป็นต้องมีเทวดาดูแลอีกแล้ว”
“คิดผิดคิดใหม่ได้นะ อย่างฉัน..ไม่จำเป็นต้องมีคนดูแลก็อยู่ได้สบาย” เจ้าหญิงผมทอง ดวงตาสีอเมทิสต์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“งั้นเหรอ...ฉันขอให้เธอโชคดี ขอให้มีความสุขมากๆ” ลูคัสอวยพรด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ขอบใจ” สโลรี่ยักไหล่แล้วเดินต่อไปอีกจนถึงต้นไม้ต้นสุดท้ายแล้วก็หันหน้ามา...ถืออะไรสักอย่างไว้ในมือ
“ไอเทวดาบ้า ลืมตาดูให้ชัดๆ คัมภีร์มนตร์สวรรค์ยังอยู่กับฉัน สัญญาที่ทำไว้ก็ยังไม่ยกเลิก บอกไว้ก่อนว่าฉันง้อนายครั้งนี้ครั้งเดียว นายจะตามฉันกลับวังไปดีๆ หรือจะต้องให้อัญเชิญด้วยมีดบิน..ว่ามาเลย” เจ้าหญิงแห่งแอเรียสตะโกนด่าเทวดาไปน้ำตาไหลไปอย่างเจ็บใจสุดๆ ก่อนจะสะบัดหน้าออกเดินต่อไป
เทวดาเหวอไปเล็กน้อย...แต่พอตั้งสติได้ก็ยิ้มกว้าง
“เดี๋ยว รอก่อน อย่าเพิ่งไป...รอเค้าด้วย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น