Author : jes
Pairing : ไม่มี๊ ไม่มี
ระดับ : ปลอดภัยไร้กังวล
Disclaimer : ตัวละครทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของคุณ rabbit ค่ะ
-----------------------------------------------------------------------
ยามค่ำคืนอันแสนมืดมิด....สรรพสิ่งรอบตัวดูสลัวเลือนและเย็นชื้นจากละอองน้ำในอากาศและหยาดน้ำค้างมากมายตามใบไม้และยอดหญ้า บนท้องฟ้ามีเพียงแสงสีเงินซีดจางจากดวงจันทร์ที่แม้แหว่งเว้าจนเหลือแค่เศษเสี้ยวเล็กๆแต่ก็นับเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่และพอช่วยให้อุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง
คนกลุ่มหนึ่งยืนออกันอยู่แถวๆนั้นด้วยอาการกระสับกระส่าย หลายคนดูหวาดระแวงกับเงาสะท้อนของสิ่งต่างๆรอบๆตัวที่เวลานี้ดูตะคุ่มๆ พิกล บางคนสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิวไปมาไม่ก็เสียงแมลงและนกที่ออกหากินตอนกลางคืนที่จู่ๆก็เกิดอยากส่งเสียงขึ้นมาอย่างไม่มีปั่มีขลุ่ย แต่ที่แน่ๆมีคนขวัญผวาถึงขนาดลงไปนั่งคุกเข่าสวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ตัวเองยังมีชีวิตรอดผ่านคืนนี้ไปได้ด้วยล่ะ
“ภะคะวะโต นะโมตัสสะ....นะโมตัสสะ อิติปิโส......”
“เฮ่ย...เฟริน” คิลคุงสะกิดเจ้าหญิงหัวขโมยที่ตั้งท่าหลับตาปี๋พลางสวดมนต์มั่วๆซั่วๆซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมหยุด
“นะโม...นะโม.....”
“สองคนนั่นเดินมาโน่นแล้ว”
“นะโ...เฮ้ย จริงเหรอวะ ไหนๆ” เฟรินลืมตาขึ้นทันควันแล้วรีบมองซ้ายแลขวาหาคนที่อยากเจอมากที่สุดโดยเฉพาะในตอนนี้ เมื่อเห็นคนๆนั้นเดินเข้ามาใกล้ก็แทบจะโผผวาถลาเข้าไปหาอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น
“ซีบิ๊ลลลลลลล ~!!! ซีบิลจางงงงง ซีบิลจ๋า” เสียงกรีดร้องด้วยความดีใจสุดขีดของเจ้าตัวยุ่งที่สุดในป้อมอัศวินเล่นเอาทุกคนที่อยู่แถวนั้นถึงกับเอ๋อรับประทานไปชั่วขณะ เว้นก็แต่เจ้านักฆ่ามาดหลุดที่เอาแต่กลั้นหัวเราะกั้กๆอยู่คนเดียว
“เมื่อกี๊ฉันคงกรึ๊บมากเกินไป ท่าจะเมา” เจคกระซิบกับเดธ
“มั่วน่า แค่น้ำหวานใส่โซดาเนี่ยนะ ถ้านายเมาฉันก็ต้องเมาเหมือนกัน” เดธสั่นหัวไปมาแล้วเอานิ้วแคะหู ขณะที่ครี้ดสรุปใจความสำคัญ
“ฉันได้ยินไอเฟรินมันเรียกเจ้าซีบิลเต็ม 2 หูเลยว่ะ”
“ซีบิล...ซีบิลคนดี๊ คนดี” เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งเป็นการรับประกันว่าไม่มีใครหูฝาด
“ใครก็ได้จับตัวเฟรินไว้ที เดี๋ยวมีเรื่อง” เจ้าแม่มาทิลด้าที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างรีบออกคำสั่งบรรดาพรรคพวก หวังจะยุติสภาวะไม่ปรกตินี้โดยเร็ว
ช้าไปแล้ว....
เพราะใช้เวลาแค่ไม่ถึงครึ่งอึดใจ เฟรินก็กระโจนเข้ามาในรัศมีประชิดตัวนักบวชแห่งบารามอสที่เริ่มหน้าซีดเหงื่อตกจนต้องหลบวูบไปแอบอยู่ข้างหลังเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่เดินมาด้วยกัน
แล้วเพื่อนฝูงก็มีอันต้องใบ้กินอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดจากปากเจ้าของฉายา ‘เจ้าหญิงเตาหลอม’ กับ ‘เจ้าชายน้ำแข็ง’ ส่วนคิลคุงก็ลงไปหัวเราะชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว
“ไอคาโล ถอยไปนะโว้ย ฉันไม่มีธุระกะแก”
“ไม่” คาโลปฏิเสธเสียงแข็งแถมยังกางแขนออกเพื่อป้องกันนักบวชผู้น่าสงสารไว้ให้พ้นเงื้อมมือนางมารร้าย
“หลบไปไม่งั้นเจอผ่าปฐพี!!!” เฟรินตวาดแว้ด (!?) (OO!)
“ก็ได้ คทาพิพากษา” คาโลยักไหล่แล้วเตรียมเรียกคทาคู่มือ
“อย่าทะเลาะกันเลยครับ” ซีบิลเห็นท่าไม่ดีเลยรีบตะโกนห้ามศึกแล้วยื่นอะไรสักอย่างในมือออกมาข้างหน้า “นี่ครับ ของที่คุณเฟรินอยากได้”
“นี่นายไปขอผ้ายันต์กันผีจากลอเรนซ์มาให้เฟรินตามที่มันบอกไว้เมื่อวานจริงๆน่ะ” คาโลอึ้งไปนิดก่อนจะรู้สึกนับถือคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“จริงอ่ะ แล้วลอเรนซ์ยอมให้มาจริงๆเหรอ” คิลหยุดหัวเราะราวกับปิดสวิตช์แล้วกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน
ซีบิลยิ้มให้นิดๆตามนิสัย
“คนบ้านเดียวกันมันก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้วเฟ้ย เชอะ! บอกแค่ไม่กี่คำซีบิลก็เข้าใจ...ไม่เหมือนพวกแก 2 คน อ้อ! ไอโรด้วยอีกคนที่ฉันทั้งอ้อนวอนทั้งขอร้องก็ยังทำเฉย ไอคนใจดำ” ปากด่ามือก็คว้าเอาผ้าผืนเล็กๆในมือซีบิลมาเปิดออกดู
ไม่ใช่ผ้ายันต์อย่างที่ต้องการ....
แต่เป็นมีดสั้นสีเงินขนาดเล็ก 2 เล่มเป็นประกายวาววับอยู่ในห่อผ้า
เอกลักษณ์ประจำตัวผู้คุมกฎลอเรนซ์ ดอร์น ที่ใครเห็นเป็นต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อก
“พี่เค้าบอกว่า....กล้าขอก็กล้าให้ แต่บังเอิญเขียนยันต์ไม่เป็น ถ้าอยากได้ก็ให้เอามีดบินไปแทนครับ แล้วผมก็ไม่กล้าขอยืมคัมภีร์มนตร์สวรรค์ของพี่เค้าด้วยอ่ะ” ซีบิลอธิบายด้วยสีหน้าโล่งอกโล่งใจที่ได้ของมาโดยปลอดภัยไม่เสียชีวิตไปซะก่อน
“เอาวะ ก็ยังดี” เจ้าหัวขโมยถอนใจเฮือกแล้วหยิบมีดสั้นเล่มนึงออกมารวมไว้กับสารพัดสมบัติที่เอาติดตัวมาด้วย “ในที่สุดฉันก็ได้เครื่องรางครบ มีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของเอ็ดเวิร์ด ซาลาเปากับข้าวสวยเสกของโคลว์ ไม้แหลมของกัส ลูกประคำหัวกระเทียมของซีบิล แล้วก็มีดบินของลอเรนซ์”
แต่พอจะหยิบมีดบินอีกเล่ม ซีบิลก็รีบตะครุบทั้งมีดทั้งผ้า(เช็ดหน้า) มาเก็บไว้ซะเอง
“อีกเล่มของผมครับ” หนุ่มน้อยพูดหน้าตาย
“หา! นายเป็นนักบวชไม่ใช่เรอะ” อาชูร่าที่ดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆถามขึ้นหลังจากกลืนคุ๊กกี้เนยสดถุงเบ้อเริ่มลงท้องไปหมดแล้ว
“นักบวชแล้วไง” โคลว์โต้ “นักบวชก็กลัวผีเป็นเหมือนกันนี่หว่า จริงมั้ยกัส”
ภาพกัสจังที่พยักหน้าหงึกๆนี่ต้องแปลว่า ‘เห็นด้วย100%’ อย่างไม่ต้องสงสัย
“แล้วนักบวชกับหมอผีน่ะมันคนละสปีชี่ย์กันนะเพื่อน” เอ็ดเวิร์ดรีบสนับสนุนต่อทันทีแล้วทำท่าขนลุก “ดีไม่ดี ผีมันอยากลองของแกล้งหลอกแต่นักบวชขึ้นมาล่ะ บรื๋ออออออ”
“ที่พูดมาก็มีเหตุผล” โรดีดนิ้วเป๊าะพลางยักคิ้วให้ นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกายพราวระริก “แต่ในบรรดาพวกเราก็มีแต่พวกนายที่เป็นนักบวชนี่แหละที่พอจะเป็นที่พึ่งได้คืนนี้ กลางป่าที่เคยเป็นสนามรบในสงครามเอเดน - เดมอสที่ทุกคนกำลังยืนอยู่นี่”
“อย่าพูดสิฟะ ไม่รู้มีคนตายเท่าไหร่ เฮ้อ! เกิดเป็นคนต้องรักศักดิ์ศรี แต่ถ้าต้องเจอผีนี่ขอถอยดีกว่า” ขนาดนักรบวัยโจ๋อย่างครี้ด ธันเดอร์ยังหน้าซีด
“พวกแกยังไม่เท่าไหร่ แต่ฉันนี่สิ” เจ้าหญิงจอมยุ่งเริ่มโอดครวญบ้าง
“จริงดิ เจ้าหญิงแห่งเดมอสมาให้หลอกถึงที่ พลาดงานนี้จะมีหวังเสียใจตายรอบสอง” คิลคุงดีดนิ้วเปาะอย่างนึกอะไรเด็ดๆออก
“ระวังตัวดีๆนะเฟริน พวกวิญญาณเอเดนที่ตายไปมีสิทธิ์มาชำระแค้นเอาคืนกับนายแทนเอวิเดสก็ได้” โรแกล้งทำตาโตบ้าง
“ไม่ก็พวกผีเดมอสมันเกิดอยากมาเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเพื่อแสดงความจงรักภักดีก่อนไปเกิดใหม่ วะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ขนาดเมื่อกี๊ยังหวาดๆอยู่แท้ๆ แต่โจ๋อย่างครี้ดก็ฮากลิ้งได้
“แกไปเดินห่างๆฉันเลยนะเฟ้ย เจ้าลูกครึ่งเดมอส ตอนนี้เราไม่รู้จักกัน ชิ่วๆ” เจคกับเดธรีบรับมุขทันที
“พวกแก๊...ไอ$&@#*+!^$@#&!+ !#@$^%&*^$#!#@$%%^%$##%@ ขอให้พวกแก aaa bbb ccc แล้วก็ eee ด้วย แง่งงงงงง....ไอพวกบ้า!!!” เฟรินหลุดด่ารัวเป็นชุดชนิดที่คนเป็นเจ้าหญิงเขาไม่ทำกัน แต่แปลกแฮะ...คราวนี้เจ้าชายน้ำแข็งที่มีหน้าที่คอยปรามกลับทำเฉยซะงั้น
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปทั่วผืนป่าที่ครั้งหนึ่งเคยนองไปด้วยเลือดของทั้งมนุษย์และปิศาจเหมือนจะเป็นสาสน์ท้ารบกลายๆ
ปุ้ง...ปุ้ง...ปุ้ง
พลุสีแดง 3 ลูกถูกจุดขึ้นเป็นสัญญาณเรียกรวมพล
..........................................................
นักเรียนปีสองป้อมอัศวินร่วมร้อยกว่าชีวิตถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ลานกว้างบริเวณชายป่ากับบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติก คือ ยิ่งตกดึกก็ยิ่งมืด พอยิ่งมืดก็ยิ่งหนาวจนสะท้านไปทั้งตัว เปล่า...ไม่ใช่เพราะอากาศเย็นหรอก แต่เกิดจากอาการเสียวสันหลังวาบๆอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
“ฮือออออ ฮือๆๆๆๆ โอ๊ย! ฉันกลัว” เจ้าขโมยแหกปากโวยวายแบบไม่อายสายตาชาวบ้านพลางกอดแขนเจ้าชายไอซ์ซี่ที่เริ่มปวดหัวตุบๆแบบไม่ยอมปล่อย
“คนเยอะขนาดนี้ ผีเผอที่ไหนมันจะกล้าโผล่ออกมา” เจ้านักฆ่าเพื่อนซี้ที่ถนัดการส่งคนไปเป็นผีพยายามปลอบใจ
ทว่าไร้ผล...
“เงียบไปเลยไอคิล แกเคยเป็นผีมาก่อนเรอะถึงรู้ดีนัก” เฟรินขึ้นเสียงสูงปรี๊ดดดดดก่อนจะชะงักกึกแล้วช็อกค้างขึ้นมาอย่างกระทันหัน....นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างพลางจ้องเป๋งไปยังภาพที่ได้เห็นเบื้องหน้า แขนขาก็พาลอ่อนยวบจนต้องลงไปนั่งสั่นพั่บๆอยู่กับพื้น ริมฝีปากเผยอขึ้นแต่กลับไม่มีเสียงใดจะกรีดร้องออกมาจากลำคอ
....ก็อยู่ดีๆกลับมีควันสีขาวมากมายที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินเป็นสายพร้อมเสียงร้องโหยหวนที่ดังเอคโค่ไปทั่ว สักพักเงาร่างๆนึงเริ่มปรากฏตัวอย่างช้าๆ
แต่ใช่เฉพาะเฟรินคนเดียวที่สติแตกกระเจิง รู้สึกว่าทุกๆคนที่ถูกเรียกตัวมารวมกันที่นี่ล้วนมีอาการไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่
ไม่นานนัก เงาร่างนั้นก็เริ่มชัดเจนขึ้น
ชัดขึ้นๆๆ
ชัดขึ้นๆๆๆๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ
ชัดขึ้นเรื่อยๆจนพอดูออก
“พี่โรเว๊นนนนนนน พี่ทำอะไรของพี่ห๊า......” เจ้าตัวดีโวยวายลั่นเมื่อแน่ใจว่าเงาที่เห็นเหมือนกับเจ้าชายโรเวนแห่งเจมิไนเจ้าของตำแหน่งเสธ.ซ้ายของป้อมฯชนิดไม่มีผิดเพี้ยน
....ไหงเจ้าคนที่กลัวมากที่สุดกลับเป็นคนแรกที่รู้ก่อนเพื่อนว่าโดนรุ่นพี่แกล้งเข้าให้ล่ะเนี่ย
“เก่งนี่ รู้สึกตัวเร็วจัง” โรเวนในชุดเสื้อคลุมตัวโคร่งมีฮู้ดสีดำตามแบบฉบับของยมทูต มือขวาถือเคียวเกี่ยววิญญาณ มือซ้ายถือเดธโน้ตพร้อมปากกาหันมาฉีกยิ้มกราดไปทั่ว
เมื่อพอรู้แล้วว่าเจ้าผีกำมะลอนั่นเป็นใคร แขนกับขาก็เริ่มมีความรู้สึก ปากกับลิ้นก็กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมอีกครั้ง
“โหยพี่ เกิดใครหัวใจวายตายขึ้นมาว่าไง ใครรับผิดชอบ” ครี้ดที่พอได้สติกลับมารีบร่วมด้วยช่วยโวยทันที
“แหม...ก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรนี่นะ ไหน...ใครตายแล้วบ้างยกมือขึ้น” โรเวนยังเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องชวนหัว
“ไม่ตลกเลยพี่” คราวนี้เป็นเสียงประสานจากรุ่นน้องนับสิบคนที่เริ่มลืมตัวว่ากำลังพูดอยู่กับใคร
ก่อนศึกสายเลือดระหว่างรุ่นพี่ระดับหัวกะทิ 1 คนกับรุ่นน้องนับร้อยๆคนที่มีปนๆกันทั้งหัวทั้งหางกะทิจะระเบิดขึ้น ก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นขัดจังหวะ
“เอ้า! พอได้แล้วจ้ะเด็กๆทุกคน”
มิสแรมเซิลนั่นเอง
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ส่วนเธอก็ได้เปิดตัวแบบสุดอลังการล้านแตกอย่างที่ขอมาเรียบร้อยแล้วนะโรเวน รีบๆเข้าเรื่องกันสักทีดีมั้ยจ๊ะ”
เพราะเป็นอาจารย์คนสำคัญที่สุดของป้อมฯเลยไม่มีใครขัดแย้งอะไร
“เอาล่ะ ฟังให้ดีนะทุกคน” สีหน้าท่าทางยมทูตโรเวนบอกชัดว่าเอาจริง “คืนนี้...เราจะมาเล่น ‘เกมส์ทดสอบความกล้า’ กัน กติกาก็ง่ายๆ...ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ให้ทุกคนพยายามค้นหาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีใบสีม่วงและลำต้นสีขาวที่มีอยู่เพียงต้นเดียวในส่วนที่ลึกและมืดที่สุดของป่านี้ให้เจอ”
“ใช่ตรงแสงสีขาวๆ สว่างๆ ที่อยู่ไกลๆนั่นรึเปล่าพี่” ใครสักคนเอ่ยถามขึ้นมาทำให้สายตาทุกคู่เล็งโฟกัสตรงไปยังกลุ่มแสงสีขาวนวลในป่าลึกที่ให้ความรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลกับที่ๆกำลังยืนอยู่ซะเหลือเกิน
“ถูกต้อง พอเจอแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้าปักชื่อของตัวเองที่ทางสภาสูงแจกให้เมื่อวานไว้ไปผูกไว้ที่กิ่งไม้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เริ่มจับเวลาเมื่อนักเรียนคนสุดท้ายก้าวเท้าเข้าไปในป่า สุดท้ายขอเตือนทุกคนด้วยความหวังดีว่ามหาปราชญ์เลโมธีได้กางเขตอาคมกางล้อมรอบบริเวณที่เล่นเกมส์ไว้แล้ว อย่าคิดหนีเด็ดขาดและนักเรียน 1 คนจะสามารถผูกผ้าเช็ดหน้าที่กิ่งไม้ได้แค่ 1 ครั้ง เพราะฉะนั้นลืมไปได้เลยถ้าคิดจะฝากผ้าเช็ดหน้าให้เพื่อนช่วยเอาไปผูกให้น่ะ เข้าใจมั้ย"
“รับทราบ” รู้สึกเสียงตอบรับจากน้องๆแต่ละคนจะไม่ค่อยเต็มเสียง เต็มใจ เต็มปากเต็มคำกันสักเท่าไหร่ แต่อาศัยว่าพูดพร้อมกันเสียงเลยค่อนข้างดังพอใช้
“ดีมาก...อ้อ! อีกอย่างนึง แต่พวกเธอน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วนะว่าถ้าปฏิบัติภาระกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จล่ะก็...โดน!!! ขอรับรองด้วยชื่อของเมจิกพรินซ์เลย เอ้า.....เริ่มทะยอยๆกันเข้าไปได้แล้ว อีกนิดๆ พอเข้าไปในเขตอาคมแล้วจะใช้เวทมนตร์กับวิชาการต่อสู้ไม่ได้นะ ขอให้โชคเลือด เอ๊ย โชคดีทุกคน”
สักพักใหญ่ๆ...เหล่าผู้กล้าตัวน้อยๆที่ออกอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะถูกบังคับจิตใจอย่างรุนแรงก็หายเข้าไปในป่าลึกจนหมด
และแล้วเกมส์ทดสอบความกล้าของเด็กปี 2 ก็เปิดฉากขึ้นพร้อมๆกับที่...
“เอาล่ะจ้ะทุกคน” เสียงมิสแรมเซิลดังขึ้นอีกครั้งเมื่อนักเรียนปี 6 ป้อมอัศวินพากันออกมายืนเรียงหน้ากระดานแทนที่น้องปี 2 จนครบหมดทุกคน
“พวกน้องๆเข้าไปในป่ากันหมดแล้วนะ ต่อไปหน้าที่ของพวกเธอก็คือ...ทำทุกวิธีทางชิงเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปักชื่อน้องมาให้ได้ พยายามสะสมผ้าเช็ดหน้าให้ได้มากที่สุดนะจ๊ะ ที่สำคัญห้ามให้น้องรู้เด็ดขาดว่าใครเป็นคนเอาผ้าเช็ดหน้าไป คนไหนทำพลาดจะโดนปรับแพ้ทันที ระวังตัวกันด้วยนะทุกคนเพราะพวกเธอก็จะใช้เวทมนตร์กับวิชาการต่อสู้ในเขตอาคมไม่ได้เหมือนกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ลงมือได้เลย”
...เชื่อเลย เด็กปี 2 ที่เล่น ‘เกมส์ทดสอบความกล้า’ กลายเป็นเหยื่อให้พี่ปี 6 ฝึก ‘วอร์เกมส์ล่าสังหาร’โดยไม่รู้ตัว
แต่ที่แย่ที่สุดคือ....มีรอยยิ้มเย็นๆที่แสนจะไม่เป็นมิตรแอบแฝงอยู่ในมุมมืดโดยที่ไม่มีใครรู้
...........................................
เวลาที่เหลือขณะนี้ 2 ชั่วโมง 30 นาที
เสียงฝีเท้าที่เดินไปมาบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งดังสวบสาบทำลายความเงียบสงัดโดยรอบแต่ช่างไม่เข้ากันเล้ยกับเสียงคร่ำครวญหวนไห้ของพวกไม่รู้จักเวล่ำเวลา
“ฮือ ๆ ๆ ๆ พ่อจ๋า แม่จ๋า ตาจ๋า ช่วยหนูด้วย หนูกลัวจะตายอยู่แล้ว แง๊...” ไม่ต้องเดาก็รู้เนอะว่าเสียงใคร
“ใครก็ได้ช่วยทำให้มันหุบปากที” ครี้ดที่เดินนำอยู่ข้างหน้าตะโกนขึ้นมาอย่างประสาทเสียสุดๆ
“อีกอย่าง...คุณเฟรินอยากพบท่านอลิเซียกับอดีตไฮคิงจริงๆเหรอครับ เรียกหามากๆเดี๋ยวก็มาจริงๆหรอก” ซีบิลถามขึ้นอย่างเดาไม่ออกว่าจริงๆมันหวังดีหรือประสงค์ร้ายกันแน่
….นั่นเด่ะ แม่อลิเซียกับพระเจ้าตาซี้แหงไปแล้วนี่หว่า
“ฮือ...แม่จ๋า ตาจ๋าไม่ต้องมาแล้วก็ได้ พ่อจ๋าอยู่ไหนมาช่วยหนูทีเด้” เจ้าหญิง 2 ดินแดนชักอาการหนักมากขึ้นทุกทีๆ
“นายจะกลัวอะไรนักหนานะเฟริน” สาวน้อยแองจี้แว้ดเข้าให้อย่างเหลืออดเหลือทนเต็มที
“นั่นสิคะ อย่างตอนนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้น...คุณเฟรินจะเป็นคนที่ปลอดภัยมากที่สุดแท้ๆ” เจ้าหญิงเรน่อนคนงามที่เดินคู่กับคิลอยู่ด้านหลังรีบแจกแจงบ้างหวังจะให้เจ้าคนปัญหามากรู้จักสงบสติอารมณ์ก่อนที่พวกเพื่อนๆจะรวมหัวกันซัดมันให้สลบแล้วลากศพมันไปผูกไว้ใต้ต้นไม้แทนผ้าเช็ดหน้า
ด้วยความรักเพื่อน รู้ดีว่ามันกลัวผียิ่งกว่ากลัวตายเลยยอมจับกลุ่มเดินมาด้วยกันตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในป่า ขนาดคาโลกับคิล...คนนึงรับหน้าที่เคลียร์ทางข้างหน้าอีกคนคอยระวังหลัง มีสี่นักบวชคอยเดินขนาบ 4 ทิศล้อมกรอบเจ้าตัวยุ่งไว้ ยังจะคนอื่นๆที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังตามกันมาเป็นพรวนนี่อีก แต่เฟรินก็ยังไม่หมดปัญหาเสียที.....
(ภาพออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ)
ครี้ด คาโล
เจค เดธ
โร นิกส์
เอ็ดเวิร์ด
แองจี้ มาทิลด้า
โคลว์ เฟริน กัส
ซีบิล
ทิวดอร์ อาชูร่า
คิล เรน่อน
ซอร์โร
“ว้ากกกกกกก” เสียงใครก็ไม่รู้..คงเป็นปี 2 คนอื่นที่เดินล่วงหน้าไปก่อนร้องขึ้น เล่นเอาทั้งกลุ่มหยุดกึกแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก
“โฮ แม่จ๋า ตาจ๋า บอกแล้วว่าไม่ต้องม๊า...ไม่ต้องมา ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง อุ๊บ!” เสียงกวนประสาทเงียบไปเพราะมีใครสักคนอดรนทนไม่ไหวเอาขนมปังก้อนโตยัดปากเข้าให้
“เฮ้ย!” ครี้ดที่เป็นแนวหน้าคู่กับคาโลร้องลั่นเมื่อมีตัวอะไรดำๆบินตัดหน้า
“มนุษย์ค้างคาว” เดธว่าบ้าง
“แบทแมนบ้านแกเซ่ะ นี่มันค้างคาวดูดเลือดเฟ้ย” อาชูร่าตะโกนตอบมาจากข้างหลัง
ค้างคาวตัวโตบินร่อนลงมาที่พื้นก่อนปรากฏร่างในชุดผ้าคลุมตัวยาวสีดำ ผมสั้นสีดำสนิทพลิ้วตามสายลมที่พัดมาเป็นจังหวะ ผิวขาวจัดเกินกว่าคนธรรมดา ดวงตาเป็นประกายสีแดงสด ที่สำคัญคือเขี้ยวเล็กๆที่งอกแหลม.....ท่านเคาท์แวมไพร์หัวเราะเสียงเย็นชวนขนลุก
“แดร็กจังเหรอ งั้นต้องเจอไม้แหลมตอกวิญญาณ เอาเลยกัส ลุยโลดเพื่อน” ทิวดอร์โยนภาระให้กัส เฮลซิ่งเอาง่ายๆ
“ไม่ล่ะ” กัสตอบกลับด้วยใบหน้าสิ้นไร้ความรู้สึก “มีเมื่อไหร่ไม้หลงไม้แหลม ตอนเฟรินมาขอฉันเพิ่งกินลูกชิ้นปิ้งหมดพอดี ไม่เชื่อถามเอ็ดเวิร์ดดูก็ได้”
“อะไรนะ แกหลอกฉัน” เฟรินที่กลืนขนมปังเข้าไปทั้งก้อนโวยวายยกใหญ่ก่อนจะทำตาโตแล้วชี้ไปที่ร่างอีกร่างนึงที่อยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ “นะ...นะ....นั่น...นั่น...นั่นอะ...อะ....อะ...อะไรน่ะ”
พอรู้ว่ามีคนสังเกตเห็น ‘ปิศาจจิ้งจอก’ ในชุดกิโมโนสีขาวสะอาดก็กระโจนพรวดลงมาจากกิ่งไม้ เส้นผมสีทองอ่อนยาวเหยียดเป็นประกายสะท้อนแสงจันทร์ปิดบังใบหูรูปสามเหลี่ยมเล็กๆไว้เกือบมิด นัยน์ตาสีเหลืองอำพันจ้องตรงมาที่กลุ่มเหยื่อชนิดตาไม่กระพริบก่อนจะแย้มริมฝีปากออกน้อยๆด้วยความพอใจ
“เอ็ดเวิร์ด น้ำมนต์ล่ะ” แองจี้ชักเสียงสั่นขึ้นมาบ้าง
“เมื่อกี๊หิวน้ำ เลยซดไปหมดแล้ว” สาธุคุณเอ็ดยิ้มแหยพลางยกขวดเปล่าให้ดู
“เอ้า เอาไป” เฟรินที่ชักอยากจะเป็นลมไปให้รู้แล้วรู้รอดรีบยัดเยียดขวดน้ำมนต์ที่ตัวเองบังคับให้เอ็ดเวิร์ดทำพิธีให้เมื่อวานกลับคืนไปให้เจ้าของ “นี่ด้วย...ซาลาเปากับข้างสวยเสกของแก รีบๆจัดการเจ้าพวกนั้นเร็วเข้า”
“ขอบใจนะเฟริน กำลังหิวอยู่พอดี” หลวงพี่โคลว์ยิ้มแฉ่งแก้มแทบปริที่ได้ของกินที่โดนแย่งไปเมื่อช่วงกลางวันคืนมา “พอดีกินหมูปิ้งหมดแล้วเหลือแต่ข้าวเหนียว ยังนึกอยู่เลยว่ากว่าจะครบ 3 ชั่วโมงมีหวังท้องร้องแย่”
“ขะ...ข้าวเหนียว” เฟรินทวนคำ “ไหนแกว่าเป็นข้าวเหนียวเสกที่ขอเก็บไว้เป็นเครื่องรางป้องกันตัวเองไงวะ”
“แหม...ถ้าไม่บอกอย่างนั้นนายก็ยึดไปหมดสิ แล้วฉันจะเอาอะไรกินล่ะ” โคลว์ตอบแบบไม่สะทกสะท้านแถมยังมีหน้าไปเจรจาขอแลกเครื่องดื่มเสียอีก
“เอ็ด”
“โอเค”
และแล้วซาลาเปา 2 ลูกก็แลกได้น้ำมาครึ่งขวด ท่ามกลางเสียงร้องกรี๊ดอย่างขัดใจจริงๆของเจ้าแม่มาทิลด้า
“หมายความว่า...น้ำมนต์ก็ของปลอมงั้นเรอะ”
“ฮื่อ” เอ็ดเวิร์ดพยักหน้าหงึกหงัก “ก็เฟรินเซ้าซี้จะเอาให้ได้ ฉันไม่รู้จะทำยังไงเลยส่งขวดน้ำเปล่าให้แทน”
เจ้าตัวยุ่งสะดุดใจเล็กน้อยแล้วก้มลงมองลูกประคำหัวกระเทียม 108 หัวที่ห้อยคออยู่พลางหันไปหรี่ตามองนักบวชแสนสุภาพที่ยืนตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ไม่ห่าง
“เจ้าซีบิล นายอย่าบอกนะว่า...”
“เอ่อ...ผมเห็นมันแขวนอยู่หลังห้องอาหารดราก้อนน่ะครับ เลยขอยืมมาก่อน กะว่าพอเกมส์จบแล้วค่อยเอาไปคืนที่”
“ว้ากกกกกกกกก พวกแก...ไอเพื่อนซังกะบ๊วย ไอเพื่อนสับปะรังเค จาฟ้องแม่...ฮือๆๆๆๆๆ” หัวขโมยสะอื้นไห้ น้ำตาไหลพรากๆอย่างสุดกลั้น
“กรรม...กรรมไม่ต้องแบ” พวกนักบู๊ทั้งหลายก็พลอยปลงตกกับความไม่เอาไหนของพวกนักบวชไปด้วย
“เว้ยเฮ้ย...พวกแก๊” เสียงครี้ดดังมาจากแนวหน้า “สู้ตายเว้ย พวกมันจะโจมตีแล้ว”
พริบตาเดียวทั้งแวมไพร์และปิศาจจิ้งจอกก็พุ่งตัวเข้าโจมตีแบบดูโอ ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าไอผีมัมมี่ที่พันผ้าพันแผลเก่าๆขาดๆสีเหลืองอ๋อยตลอดทั้งตัวกับแม่มดเมดูซ่าที่ผมทั้งหัวเป็นงูเลื้อยพันกันไปมาแถมบางตัวยังแลบลิ้นแผล็บๆชวนสยองดันโผล่มาร่วมแจมด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่
ตุ้บ! ตั้บ!
โครม...
เพี๊ยะ….
ผัวะ!
เปรี้ยง!
นี่แน่ะๆๆๆ
เมื่อทุกคนรวมพลังกันสู้ ในที่สุดธรรมะก็ชนะอธรรมอยู่วันยังค่ำ....(คิดว่างั้นนะ)
พอถูกทิวดอร์กระชากเอาผ้าพันแผลที่พันไว้แถวๆใบหน้าขาดติดมือออกไปปุ๊บ...มัมมี่ขี้อายก็รีบกระโดดหนีปั๊บพร้อมคว้าหมับเอาอาชูร่าติดมือไปด้วย ส่วนเมดูซ่าก็อาศัยทีเผลอกระชากคอเสื้อลากเจคกับเดธหายตัวแว๊บไปพร้อมกันจนได้
เสร็จไปสามล่ะ
“คุณคาโลครับ ระวัง ย๊ากกกก” ซีบิลตะโกนแล้วคว้าเอาลูกประคำกระเทียมที่เฟรินถอดทิ้งไว้เพราะชักทนกลิ่นไม่ไหวฟาดโครมลงไป แม้จะไม่โดนปิศาจจิ้งจอกอย่างที่หวังไว้แต่ยังไงซะก็ช่วยเจ้าชายน้ำแข็งที่เมื่อไร้เวทมนตร์ก็พาลจะกลายเป็นบุคคลไร้ค่าไว้ได้ล่ะน่า
“ว้ากกกกก เจ้าพ่อเจ้าแม่ช่วยลูกช้างน้อยด้วยยยยยย”
“ใครก็ได้ช่วยที ได้ยินม้ายยยยยย เฮลป์มี พลีส”
แย่ล่ะสิ...เอ็ดเวิร์ดกับโคลว์ดันพลาดท่าถูกท่านเคาท์แวมไพร์จับตัวไว้ได้ ตอนนี้กำลังส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างเอาเป็นเอาตายดังสนั่น
เจ้าหัวขโมยตัวยุ่งไม่รู้จะทำยังไงเลยตัดสินใจเดิมพันกับเครื่องรางชิ้นสุดท้าย เพราะมั่นใจ 1000% ว่าเป็นของแท้แน่นอน
เฟี้ยว.....ฉึก
ไม่มีทางซะหรอกที่ฝีมือปาเป้าของหัวขโมยจะสู้นักบวชชั้นเซียน มีดบินจึงแหวกอากาศไปจิ้มจึ้กบนโคนต้นไม้ใหญ่ห่างจากเป้าหมายไปเป็นวา แต่ไม่รู้เพราะอะไรท่านเคาท์กลับทำท่าสะบัดหลบราวกับว่าชาติก่อนเคยจบชีวิตลงด้วยพายุมีดบินมาก่อนซะงั้น โคลว์เลยฉวยโอกาสบิดข้อมือหลุดออกจากกรงเล็บแหลมยาวได้สำเร็จก่อนที่ท่านเคาท์จะพุ่งตัวหนีหายไปพร้อมเอ็ดเวิร์ดผู้โชคร้ายและปิศาจจิ้งจอกที่ยอมรามือแต่โดยดี
....โหย เครื่องรางของเจ้าพ่อลอรี่นี่ศักดิ์สิทธิ์สุดยอดจริงๆ คิดถูกชะมัดที่ใช้ให้เจ้าซีบิลมันไปขอมาให้ เฟรินคนนี้ขอคารวะ
งานนี้กว่าจะหายใจหายคอกันได้คล่องๆก็มีผู้กล้าพลีชีพไปแล้ว 4 คน อาเมน....
แต่ในเมื่อชีวิตยังไม่สิ้นมันก็ดิ้นรนกันต่อไป จริงมั้ย
เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง 40 นาที
คราวนี้เส้นทางเริ่มเปลี่ยนจากพงไม้หนาทึบสุดแสนจะเงียบสงัดมาเป็นแนวหลุมฝังศพที่กระจายตัวเป็นวงกว้างท่ามกลางแสงจันทร์ซีดๆ เรียกได้ว่าจะหาเส้นทางที่เหมาะกับการทดสอบความกล้ายิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้วววววว......
....เอาวะ ลองคนมันจะกลัว เห็นอะไรมันก็น่าขนหัวลุกไปหมดแหละ จะเจ้าชาย เจ้าหญิง นักฆ่า นักรบหรือนักบวชก็ไม่เว้น
“ทุกคนแข็งใจหน่อยนะครับ เกือบแล้ว” เสียงปลอบใจดังมาจากหนึ่งในสามนักบวชที่เหลืออยู่
“ฮ่า...ฮ่า เกือบอะไรของนายวะเจ้าซีบิล เกือบรอดหรือเกือบตาย”
ท่าทางมุขฝืดๆของครี้ดจะไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นสักเท่าไหร่
“เกือบพ้นเขตสุสานตะหากย่ะ ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรให้มันสร้างสรรค์กว่านี้ก็เงียบๆไปซะ” แองจี้ที่หน้าซีดลงๆแว้ดใส่พลางควงคทาในมือแล้วหันไปเหล่มอง ‘ตัวปัญหา’
“ชะ...ชะ...ใช่...พวกเราต้องสู้เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อเกียรติยศและเพื่อชัยชนะ เอ้า!สู้โว้ย” หัวขโมยที่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้ารับคำตามด้วยแหกปากตะโกนประโยคที่เจ้าตัวคิดว่าสร้างสรรค์สุดๆแล้วออกมาทันที เล่นเอาเพื่อนๆประทับใจจนตัดสินใจได้ว่า.....ถ้าจบเกมส์นี้แล้วตูยังมีชีวิตรอด เห็นทีต้องเลิกคบกับมัน.....
โป๊ก!
โอ๊ย.....
เปล่า...คทาในมือแม่มดแองจี้ยังไม่ทันได้ขยับ แต่ฝักดาบในมือเจ้าหญิงแห่งอเมซอนกลับประเคนลงไปแทน
“นั่นมันคำประกาศสงครามไม่ใช่เหรอยะ แล้วพวกในหลุมนี่ก็ทหารทั้งนั้น เกิดบ้าจี้ลุกขึ้นมาตามคำสั่งล่ะก็” เสียงมาทิลด้าชักขาดๆหายๆด้วยความหวาดเสียวเป็นกำลัง
แต่ละคนก้มหน้าก้มตารีบเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิดเพื่อให้ออกจากเขตสุสานโดยไว แต่ความซวยมันเป็นใจช่วยให้ตาไวสังเกตเห็นใครบางคนยืนหันหลังให้อยู่ในพงหญ้าที่ขึ้นรกสูงท่วมหัว
เสื้อคลุมยาวๆ สีดำ แถมมีฮู้ด???
“พี่โรเวน” เจ้าตัวยุ่งกรี๊ดลั่นด้วยความดีใจสุดขั้วก่อนจะจ้ำพรวดๆเข้าไปหา ขอกระโดดกอดให้หายกลัวสักทีเถอะน่า
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้อ่ะพี่ ฮะ..ฮะ..เฮ้ย....ผะ...ผะ...ผะ...ผี...ผีนี่หว่า...ผีหลอก ช่วยด้วยยยยยย”
เจ้าตัวยุ่งช็อกค้างพลางถอยกรูดแล้วทรุดลงไปชักกระตุกกับพื้นเมื่อร่างที่อยู่ในพงหญ้าหันกลับมาหาอย่างช้าๆ ชายผ้าคลุมโบกสะบัดขึ้นลงตามสายลมแรงที่อยู่ดีๆก็พัดขึ้นมาทำให้เห็นโครงกระดูกสีขาวโพลนที่ซ่อนอยู่ข้างใต้!!!!! แล้วพอเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้า....ใช่แล้ว....หัวกะโหลกผีดีๆนี่เอง
ทั้งกลุ่มยืนตะลึงกันอยู่ไม่นาน แต่พอเจ้าโครงกระดูกเดินได้ขยับใกล้เข้ามา เสียงหวีดร้องโวยวายของอัศวินขวัญอ่อนก็ดังก้องป่าแบบน็อน-สต็อป สองขาทำงานก่อนที่สมองจะร้องสั่งการซะอีก ลงท้ายก็วิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านแม๊ ท่านแม่เจ้าขา ช่วยหนูด้วย”
“ว้ากกกกกกกกกก อย่าเข้าม๊า....บอกว่าอย่าเข้ามา ฮือๆๆๆๆๆๆ กลัวแล้ว อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย”
“รีบๆไปผุดไปเกิดซะเถอะครับ แล้วผมจะทำบุญกรวดน้ำไปให้ พรุ่งนี้เช้าเลย”
“อยากกินอะไรขอให้บอก แต่อย่ามาแกล้งหลอกกันแบบเน้ ฮือออออ เค้ากลัวนะตัวเอง”
.................................
เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง 10 นาที
“เราอยู่ตรงไหนแล้ว” มาทิลด้าที่เริ่มจะสงบสติอารมณ์ได้สำเร็จถามขึ้น
“เรากลับเข้ามาในป่าอีกแล้วล่ะ ใกล้ต้นไม้ที่ว่าขึ้นมาอีกนิดด้วย” เจ้าขอทานกำมะลอพยายามสูดลมหายใจเข้ายาวๆเข้าปอดพลางมองไปรอบๆตัวนิดนึงแล้วค่อยตอบคำถาม
“งั้นเรารีบไปกันต่อเถอะ” แองจี้พยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนจนได้แม้จะยังหอบฮักๆอยู่ก็ตาม “ไม่รู้มีคนอื่นอยู่แถวนี้มั่งรึเปล่า”
“อย่าตะโกนเรียกเลย” มาทิลด้าตัดสินใจ
“ฉันก็ว่างั้น เราเหลือกันแค่นี้ ตะโกนไปก็อันตรายเปล่าๆ ทุกคนคงไปรวมกันที่ต้นไม้ เราก็รีบไปมั่งดีกว่า” โรพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงเห็นด้วยแล้วออกเดินนำไปเป็นคนแรก เล่นเอาสองสาวมองตากันแล้วออกเดินตาม
.....ว่าไงก็ว่าตามกันสิ
เดินกันมาเงียบๆสักครู่ใหญ่ๆ แองจี้กับมาทิลด้าก็ต้องมองหน้ากันอีกครั้งแล้วหันกลับไปมองแผ่นหลังของพ่อห้องสมุดเคลื่อนที่ที่เดินนำสบายๆไปเรื่อยๆ
ถ้ามีคอร์สวิชาเดินป่ารับรองหมอนี่ต้องได้คะแนนท็อปแน่ เพราะตอนนี้ทั้ง 3 คนเข้าใกล้วงเวทสีขาวมากขึ้นทุกทีๆ เฮ้อ!ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
ทันใดนั้น...ท่านผู้นำก็ผงะในจังหวะเดียวกับที่ท่านผู้ตามชะงัก อยู่ๆก็มีผีดิบจีนกับซอมบี้คืนชีพโผล่หน้าออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ สองแขนยื่นตรงออกมาข้างหน้าเหมือนอยากจะทักทาย ไม่ใช่....อยากจะบีบคอตะหากเล่า
“กรี๊ดดดดดดดด” สองสาวหวีดร้องอย่างลืมตัว ความกลัวทำให้มือกระตุกจนฝักดาบและคทาในมือถูกประเคนลงบนหัวผีดิบคืนชีพทั้งสองตัวชนิดกรรมการให้คะแนนไม่ทัน
“กรี๊ดดดดด นี่แน่ะๆๆๆๆๆๆๆ”
เจอเข้าแบบนี้ไม่ว่าผีที่ไหนก็ต้องเผ่น
“พอได้แล้ว มันหนีไปหมดแล้วล่ะ” โรพูดหัวเราะๆหลังจากยืนมองสองสาวด้วยความอึ้งอยู่หลายนาที
“เหรอ ค่อยยังชั่ว” แองจี้ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างหวาดๆ
“แทนที่จะช่วยกันไล่ นายมัวยืนบื้ออะไรอยู่ไม่ทราบ” มาทิลด้าขึ้นเสียงใส่อย่างพยายามจะกอบกู้ฟอร์มที่หลุดกระจายเมื่อกี้ให้กลับคืนมา
“ก็ฉันกลัว แล้วพวกเธอเก่ง” เจ้าโรยังยิ้มได้พลางว่าเข้านั่น
“งั้นคราวนี้พวกฉันเป็นคนนำ นายเดินตามมา”
เอาล่ะสิ...พอภาพต้นไม้สีม่วงใบสีขาวเข้ามาปรากฏในสายตา แม้จะยังอีกไกลแต่พอรู้แล้วว่าต้องเดินไปทางไหน สองสาวก็จับมือกันปฏิวัติชิงอำนาจการเป็นผู้นำทันที
“ตามสบาย เธอนำไปสิ” โรยังยิ้มได้อยู่ทั้งที่ดวงตาและริมฝีปาก
อีกนิดๆ อีกนิดจะถึงแล้ว เย้! โอ้ลัลล้า..ฮะฮ่า
สวบ....
ขนาดนี้แล้วยังอุตส่าห์มีภูติ ผี ปิศาจตามมารังควานจนได้
“กรี๊ดดดดดดด อ๊ายยยยยยยย” ท่านผู้นำทั้งสองถึงกับหมดสภาพ เมื่อโดนผีนางไม้ห้อยหัวต่องแต่งลงมาจากต้นไม้ในระยะประชิดตัว ดาบกับคทาตกลงกับพื้นเพราะมือไม่มีแม้แรงจะจับจะยึดไว้ได้
ซ่า....
เสียงของเหลวถูกสาดใส่อะไรสักอย่าง
“กรี๊ดดดด....” ผีนางไม้ร้องโหยหวนขณะกระเด้งตัวกลับขึ้นไปบนต้นไม้ตามเดิม
“ลุกขึ้นเร็ว วิ่ง” โรปราดเข้าคว้าทั้งอาวุธทั้งฉุดแขนเพื่อนให้ออกวิ่ง
“มะ..เมื่อกี๊นายเอาอะไรสาดใส่นางไม้น่ะ” แองจี้ยังสงสัย
“อะไรเหรอ อ๋อ...ชาเขียวร้อนไง ฉันชงใส่กระติกติดตัวมาด้วย จริงๆไม่ร้อนเท่าไหร่แค่อุ่นๆเท่านั้นแหละ ยังพอมีเหลืออยู่ เอามั้ย แต่ขนมปังไม่มีแล้วนะ...เฟรินกินไปแล้ว”
....ที่แท้เจ้าของขนมปังปริศนาก็นายนี่เอง เจ้าโรตีบอย
“ก็ดี....โอ๊ย!...ไม่อ๊าวววววว ไม่เอาแล้ว”
ข้างหน้ามีเงาตัวอะไรดักรออยู่อีกจนได้......
....................................
“คุณคิล...คุณคิลคะ เรนอนกลัวอ่า” เจ้าหญิงคนงามเกาะแขนเจ้านักฆ่าไม่มีมาดแจ แล้วที่อ้อนเนี่ยไม่ใช่อะไรร๊อก...ก็เจ้ากัสที่เดินอยู่ข้างๆมันแสนจะเย็นชาซะจนไม่น่าอ้อนเลยอ่ะดิ ส่วนนิกส์นี่...คิดซะว่าไม่มีตัวตนก็ยังได้
ไม่รู้วิ่งหนีเอาท่าไหนถึงหลุดมาอยู่แถวๆลำธารสายเล็กๆนี่ได้ แต่ก็ดีไปอย่างที่เห็นต้นไม้ที่เป็นเป้าหมายอยู่อีกไม่ไกล
“เราเดินเรียบตามลำน้ำแล้วค่อยตัดเข้าป่าช่วงใกล้ๆต้นไม้ดีกว่า” กัสเสนอ
รู้ป่ะว่านายคิดผิดอ่ะ กัสจังจ๋า....
บังเอิญแหล่งน้ำแถวนี้มันมีตัวประหลาดแอบอยู่ แหม...พูดถึงปุ๊บก็โผล่มาปั๊บเลย
ผิวน้ำแตกกระจายเมื่อปิศาจน้ำทั้งสองปรากฏร่าง
กัปปะตัวเขียวอื๋อแถมมีสาหร่ายพันรุงรังเต็มตัวกับปิศาจไซเรนที่มาพร้อมพิณคู่มือ
“กรี๊ดดดดดดดด” เสียงกรี๊ดสนั่นจากสาวน้อยคนเดียวในกลุ่ม
‘....เฮ่อ! ทำไมพวกผู้หญิงถึงชอบส่งเสียงชวนหนวกหูเวลามีอะไรเกิดขึ้นด้วยนะ’ กัสคิดในใจพลางขมวดคิ้ว ‘แต่ เอ...นี่มันไม่ใช่เวลามาสงสัยนี่หว่า’ (นายเพิ่งรู้ตัวเหรอกัส)
“อะจ๊ากกกกก” คิลคุงลืมตัวตั้งท่ากระโดดเข้าช็อตตามถนัดแต่เพราะติดอยู่ในข่ายอาคมเลยไม่เกิดกระแสไฟฟ้าอย่างเคย ซ้ำร้ายยังโดนกัปปะตะครุบตัวไว้ได้ซะอีก
“คุณคิลหลบซ้ายหน่อยค่ะ” เสียงเรนอนดังขึ้นพลางยิ้มโหดแล้วยกขวดสเปรย์พริกไทยดำในมือขึ้นฉีดแบบไม่ยั้ง
“อ๊ากกกกกกก” กัปปะลงไปดิ้นปั่ดๆก่อนจะตะเกียกตะกายกลับลงไปในน้ำตามเดิม
“ฮืออออ คุณคิลไม่เป็นไรนะคะ เรนอนตกใจหมดเลย” พอภาระกิจช่วยเหลือตัวประกันเสร็จสิ้น เจ้าหญิงคนงามกลับไปตีบทอ้อนอีกครั้ง ขณะที่นักฆ่าไม่เหลือมาดกำลังเหงื่อตก
....มะ เมื่อกี๊ เรนอน ม่ายยยยยยยย ทำไมเธอน่ากลัวยิ่งกว่าผีอีก
อีกด้านหนึ่งเป็นศึกเกียรติยศของนักดนตรี นิกส์ ปะทะ ปิศาจไซเรน
วินาทีต่อมานิกส์ก็โวยวายลั่นขึ้นมาเป็นประโยคแรกในฟิกนี้แล้วดูท่าจะเป็นประโยคสุดท้ายด้วย
“มั่ว...ไม่ได้เล่นเองนี่ ลิปซิ้งทั้งนั้น แล้วเพลงนั่นฉันเป็นคนเล่นเองในงานต้อนรับเหล่ากษัตริย์ตอนมาเอดินเบิร์ก มั่วแล้วยังก๊อบเพลงคนอื่นอีก แบบนี้อภัยให้ไม่ได้แล้ว”
ปิศาจไซเรนจ๋อยไปนิดที่ความลับแตกก่อนจะแสยะยิ้มแล้วตรงเข้าตะปบคอเสื้อนิกส์ที่ยัวะจัดจนทำอะไรไม่ถูกลากลงน้ำไปเฉยเลย
ลงท้ายก็เหลือแต่เสียงกัสที่ตะโกนไล่หลังไป
“แล้วฉันจะเก็บเครื่องดนตรีของนายไว้ให้ ไม่ต้องห่วง”
จากนั้นกัสก็ยืนไว้อาลัยให้นิกส์อยู่ชั่วอึดใจเลยไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากเงาไม้และกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
“ระวัง” คิลตะโกนเตือนอยู่ข้างหลัง
ช้าไปแล้ว...
แค่หันกลับมา...ก็โดนตัวอะไรไม่รู้ดำๆจับหมับเข้าที่ข้อเท้าแล้วลากตัวเข้าไปในพุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
ในที่สุด กัสก็ได้คำตอบในสิ่งที่เจ้าตัวเพิ่งสงสัยอยู่เมื่อกี๊
“เหวออออออออออ”
!!!!!
“เฮ้! กัส เป็นไงมั่ง” คิลตั้งท่าจะกระโจนเข้าไปช่วยตามเคย แต่ก็โดนเรนอนดึงแขนเสื้อไว้อีกแล้ว “เรนอนว่าเราห่วงตัวเองก่อนน่าจะดีกว่านะคะคุณคิล...”
ตอนนี้มนุษย์หมาป่าท่าทางกระหายเลือดเกิน 10 ตัวกำลังล้อมกรอบคนทั้งคู่อยู่
................................................
“เอ๊ะ เมื่อกี๊เสียงคุณกัสนี่ครับ อยู่แถวๆนี้ด้วย” ซีบิลพึมพำพลางชะงักฝีเท้าแล้วหมุนไปหมุนมาหาต้นเสียง
“เสียงกัสไม่ผิดแน่” ขนาดคาโลยังยืนยัน “คงตกใจอะไรสักอย่างถึงส่งเสียงดังผิดปรกติแบบนี้”
“ไม่น๊าาาา ถ้านักบวชมือดีอย่างกัสไม่รอด ฉันจะตายคราวไหนถ้าไม่ใช่คราวนี้..” โรคปากเบาแต่กำเนิดนี่มันรักษาไม่หายจริงๆ แถมอาการยังมากำเริบเอาเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ซะอีก
กลุ่มนี้ดูท่าจะดวงเฮ็ง(ซวย)ที่สุดแล้วล่ะที่บังเอิญต้องจับพลัดจับผลูไล่ตามหัวขโมยที่วิ่งเตลิดมาถึงทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ แม้บริเวณนี้จะมีแสงจันทร์ส่องสว่างมากกว่าที่อื่นก็ตามแต่บรรยากาศรอบตัวก็ค่อนข้างวิเวก วังเวง วิเว๋โว๋ ยังไงบอกไม่ถูก
“งั้น....คุณคาโลพาคุณเฟรินไปที่ต้นไม้ก่อนนะฮะ ผมขอตัวไปดูคุณกัสทางโน้นหน่อย” นักบวชแห่งบารามอสเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของเจ้าหญิงคนสำคัญที่ไล่หลังมา ยังไงซะนักบวชก็ต้องเข้าข้างนักบวชด้วยกันอยู่วันยังค่ำล่ะน่า
ไม่นานนักก็เห็นข้างหลังของซีบิลอยู่ไกลๆ......ตอนนี้จึงมีเพียงเสียงฝีเท้าของคน 2 คนเท่านั้นที่ค่อยๆเดินย่ำไปตามผืนหญ้าที่ชื้นไปด้วยละอองน้ำค้าง ลมเย็นพัดกระโชกอย่างแรง
“แกจะมาเดินเบียดฉันทำไม ออกไปห่างๆหน่อยก็ได้”
"หัวขโมยงี่เง่าพอยิ่งกลัว...ก็ยิ่งจินตนาการ...พาลจะยิ่งสติแตกมากขึ้นเท่านั้น ฉันขี้เกียจวิ่งไล่ตามจับอีกรอบ" เจ้าชายน้ำแข็งตอบเสียงเย็นชาแต่ก็ยังไม่ยอมทิ้งระยะห่าง ดูดีๆจะรู้ว่ายิ่งขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่าเดิมอีก
"ใครงี่เง่า !! แกว่าใคร หา จะไปไหนก็ไปเลยไป!!!! ไอ้น้ำแข็งก้อน!!!" เจ้าหญิงเตาหลอมสะบัดหน้าพรืดก่อนจะสะอึกกึ๊กเมื่อเห็นคาโลเดินทิ้งห่างออกไปจริงๆ
"ใครงี่เง่า !! แกว่าใคร หา จะไปไหนก็ไปเลยไป!!!! ไอ้น้ำแข็งก้อน!!!" เจ้าหญิงเตาหลอมสะบัดหน้าพรืดก่อนจะสะอึกกึ๊กเมื่อเห็นคาโลเดินทิ้งห่างออกไปจริงๆ
ฮิ...ฮิ...ฮิ ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงหัวเราะ??? เสียงหัวเราะแผ่วๆลอยตามลมมา
ลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเริ่มส่อเค้าเมื่อเห็นเจ้าของเสียง....
ใต้เงาจันทร์มีผู้หญิงใส่ชุดขาวยืนส่งยิ้มเย็นๆมาให้ ผมสีเงินยาวจรดพื้นของเธอปลิวสะบัดตามแรงลม
เจ้าตัวดีถึงกับลมหายใจติดขัดเมื่อนึกถึงบรรดาสารพัดสารพันผีที่เจ้าห้องสมุดเคลื่อนที่มันเคยเลกเชอร์ให้ฟังก่อนหน้านี้
‘เสน่ห์ของเจ้าหญิงหิมะทำให้ผู้ชายหลงใหลได้มากกว่าผู้หญิง ไม่นานคนที่หลงชื่นชมก็จะถูกแย่งไปทั้งร่างกายและวิญญาณ’
“คาโล๊....คาโลอย่าเข้าไปนะแก อยากตายรึไง แล้วนี่ก็เหลือแกอยู่คนเดียว เกิดตายขึ้นมา...จะมีใครคอยปกป้องฉันล่ะ หา”
ที่พูดแรกๆก็ดูเป็นห่วงเป็นใยดีอยู่หรอก แต่ประโยคท้ายๆนี่สิ.....จริงใจเป็นบ้า
“คาโล” เมื่อเห็นคนสำคัญที่สุดไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าหญิงหิมะ เฟรินก็เกิดแรงฮึดขึ้นมาอย่างประหลาด แต่พองัดเอาผ่าปฐพีขึ้นมาตั้งท่าจะโจมตีคาโลก็ยกมือห้ามพลางถอนใจยาวแล้วยักไหล่เดินย้อนกลับมา
“ตัวปลอมน่ะ อย่าสนใจเลย”
เล่นเอาทั้งหญิงเตาหลอมของแท้และเจ้าหญิงหิมะของเทียมเป็นงง
....จริงด้วย มาม้าหมอนี่เป็นจอมภูติแห่งสโนว์แลนด์นี่นะ กะอีแค่เจ้าหญิงหิมะ โด่เอ๊ย...จิ๊บๆ
สุดท้ายเสียงหัวเราะก๊ากๆไม่สมหญิงก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นแทนที่เสียงหัวเราะเย็นๆของเจ้าหญิงหิมะที่หายแว๊บไปไหนแล้วก็ไม่รู้สงสัยจะอายที่หลอกไม่สำเร็จ
“คะ...คาโล ปละ..ปล่อยนะโว้ย แกจะทำอะไรฉัน” เฟรินหัวเราะค้างแล้วกระชากเสียงใส่เจ้าคนฉวยโอกาสที่อยู่ๆก็เบียดเข้ามาใกล้พลางรวบตัวหัวขโมยไว้ในอ้อมแขน
“เงียบ” คาโลสั่งเสียงเฉียบขาดแล้วเบี่ยงตัวออกให้เห็นว่ามีลูกไฟดวงเล็กๆมากมายลอยขึ้นมาจากใต้พื้นดิน
“ละ...ลูกไฟวิญญาณ?” เจ้าตัวยุ่งเสียงแห้งพลางกลืนน้ำลายเหนียวหนับลงคอ
“คราวนี้ท่าจะของจริง” เจ้าชายที่ต้องกลายสภาพมาเป็นหมอผีชั่วคราวขมวดคิ้วผูกติดกันเป็นโบ แต่นึกยังไงก็นึกวิธีปราบลูกไฟวิญญาณไม่ออก
“แล้วจะเงียบทำไมล่ะวะ แหกปากหาคนช่วยเข้าเด้” เฟรินด่าเข้าให้แล้วตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเดี่ยวๆ
“ช่วยด๊วยยยยยยย ช่วยด้วย ช่วยด้วยจ้า ซีบิ๊ลลลลลลลลล ซีบิลอยู่หนาย ถ้าได้ยินแล้วให้รีบกลับมาช่วยด่วน นี่เจ้าหญิงสั่งนะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องท่านตาชามัลจริงๆด้วย”
เสียงขอความช่วยเหลือดังก้องไปในความมืดยามราตรีแต่จะมีใครได้ยินบ้าง.....
.................................................................
เวลาเหลืออีก 40 นาที
“เอ๋ เสียงคุณเฟรินนี่” ซีบิลที่เดินห่างออกมาชะงักก่อนตัดสินใจเดินกลับไปตามเสียงเรียก เพราะไม่ว่าจะทำยังไงก็หานักบวชแห่งกิลดิเรกไม่เจอ
เฮ้! นั่นอะไรน่ะ อะไรสักอย่างกำลังย่องกระดึ๊บๆแฝงกายลัดเลาะไปตามเงาไม้ที่ทอดตัวอยู่บนพื้น
พุ่มไม้...พุ่มไม้นี่นา.....พุ่มไม้ขนาดใหญ่ธรรมดา
แต่เมื่อกี๊ตอนเดินผ่านแถวนี้เป็นพื้นหญ้าโล่งๆ ไม่เห็นมีพุ่มไม้สักนิด....ที่สำคัญ....มันเดินได้!!!!!!
พอซีบิลเดินเข้าไปใกล้ ผีพุ่มไม้(!?)ก็หยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วยื่นมือข้างนึงออกมา
ไม่รู้ว่าเพราะทื่อบื้อ ฉลาดน้อย หรือมั่นใจมากไปหน่อยว่าอีกฝ่ายมาดีก็ตาม พอเห็นมีมือยื่นออกมาหนุ่มน้อยก็รีบส่งมือให้
หมับ...
ทันทีที่มือ 2 ข้างของคน 2 คนประสานกัน แรงดึงมหาศาลก็เกิดขึ้น ร่างทั้งร่างของซีบิลที่ยังไม่ทันได้ตั้งหลักถูกกระชากเข้าไปในพุ่มไม้ทันทีอย่างไม่ปรานีปราศัย....ตกใจจนร้องไม่ออก
.....สาธุ..พระพุทธองค์ พระผู้เป็นเจ้า ใครก็ได้....โปรดช่วยนักบวชตัวน้อยๆคนนี้ด้วยเถอะ ผมยังไม่อยากตาย แต่ถ้าต้องตายจริงๆก็ขอตายแบบศพสวยได้มั้ยฮะ(!?)
กว่ารู้ตัวอีกครั้งก็ลงมานั่งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น..มีใครสักคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังเอามือปิดปากไว้
“สัญญานะว่าจะไม่ร้อง โอเค๊” เสียงที่คุ้นๆว่าเคยได้ยินจากไหนสักที่ดังขึ้นที่ข้างหู
พอคนตัวเล็กกว่าพยักหน้าเร็วๆ คนตัวโตกว่าก็ค่อยๆคลายอ้อมแขนออก
“เจ้าชายโรม” ซีบิลกะพริบตาปริบๆเมื่อเห็นหน้าผู้ประทุษร้าย
“อือฮึ ฉันเอง ไม่ใช่ผีที่ไหนหรอกน่า” หัวหน้าแผ่นดินประชาชน....เจ้าชายโรม โอดิสซียิ้มแฉ่งพลางยกมือขึ้นปัดผมสีทองยาวหยักศกของตัวเองออกให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าชัดๆ
....เจ้าชายโรมจริงๆด้วย
“เธอนี่ซื่อดีจริงๆนะ ขนาดยอมจับมือฉันเนี่ย มุขฝืดขนาดนั้นยังอุตส่าห์หลงเชื่ออีก ถ้าเป็นปิศาจจริงๆป่านนี้โดนกินไปแล้ว”
“ก็ผมไม่รู้สึกถึงไอปิศาจหรือจิตสังหารเลยตะหากครับ” รุ่นน้องต่างหอแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ “แล้วหัวหน้าแผ่นดินประชาชนมาทำอะไรอยู่แถวนี้ไม่ทราบ”
“อ๊ะ ฉันก็มาร่วมสนุกกับเกมส์ของป้อมอัศวินน่ะสิ” โรมยักคิ้วแล้วยกโครงพุ่มไม้ปลอมที่คงเคยใช้เป็นฉากตอนแสดงละครเวทีขึ้นแล้วออกเดิน...เป็นการบังคับให้ซีบิลต้องเดินตามไปด้วย
“หมายความว่า...” ซีบิลใจหายวาบเมื่อเห็นพุ่มไม้เดินได้อีกพุ่มนึงเดินเข้ามาหาตามหลังมาด้วยผู้หญิงผมเงินในชุดขาวอีก 1 คน
“ไง อาเธอร์” โรมร้องทัก
“ดี สนุกเป็นบ้า แกล้งดึงขาคนโน้นมั่งดึงแขนคนนี้มั่ง ทำเสียงประหลาดๆอยู่ข้างๆมั่ง อยากแต่งแฟนซีมาซุ่มแกล้งเด็กก่อนเองนี่นา...คงช็อกกันไปหลายคน เสียดายไม่เจอเจ้าโรเวน..จะหลอกซะให้เข็ด ” หัวหน้าปราสาทขุนนาง....เจ้าชายอาเธอร์ เลโอนาท บริสตั้น ยักคิ้วให้แล้วมองมาที่ซีบิล “นั่นเหยื่อนายเหรอ”
“อาฮะ แล้วนั่นก็..” โรมพยักหน้าแล้วหันไปยิ้มให้กัสที่เดินหน้าบึ้งตามหลังอาเธอร์มา
“อื้ม...”
ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เสียงหัวเราะสนุกสนานของ 2 เจ้าชายดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงตวาดแว้ดของอีก 1 เจ้าหญิง
“หุบปากนะยะ เงียบๆไปเลย ฮึ!”
“ใจเย็นน่าวีช่า หลอกใครไม่ได้ก็อย่ายัวะสิ” อาเธอร์หันไปยั่วโมโหเจ้าหญิงแห่งสโนว์แลนด์...วีช่า โนเอลเล่น
“เธอก็ปลอมตัวแนบเนียนดีนี่นา ข้อมูลเจ้าหญิงหิมะเธอก็รู้ดีที่สุด แล้วทำไม...” โรมสงสัย
“ไปเจอคุณคาโลเข้า แล้วเค้าดูออกว่าเป็นตัวปลอมใช่มั้ยล่ะครับ” ซีบิลหัวเราะคิกก่อนจะรีบยกมือปิดปากตัวเองทันทีเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีเขียวเรืองๆของหัวหน้าปราการปราชญ์ ส่วนกัสที่แอบหัวเราะไม่มีเสียงก็รีบปั้นหน้าทำท่าเฉยตามเดิม
ทันใดนั้น
ปุ้ง....ปุ้ง....ปุ้ง
พลุสีน้ำเงิน 3 ลูกถูกจุดขึ้นเป็นสัญญาณบอกหมดเวลา
......................................
เกมส์จบลงในเวลา 0.00 น.
เริ่มต้นเช้าวันใหม่พอดี
สุดท้ายทั้งรุ่นน้องปี 2 และรุ่นพี่ปี 6 ก็มารวมตัวกันที่หน้าต้นไม้ที่มีผ้าเช็ดหน้าสีขาวผูกอยู่หร็อมแหรมแทบนับผืนได้
ทั้งๆที่เมื่อ 3 ชั่วโมงที่แล้ว..น้องๆกลัวแทบตายแถมยังถูกพวกพี่ๆแกล้งหลอก พวกพี่ๆบางคนก็น่วมไปทั้งตัวเพราะโดนน้องๆร่วมรุมสกรัม แต่พอบรรยากาศงานเลี้ยงเริ่มกระจายไปทั่ว นักเรียนป้อมอัศวินทุกคนก็ออกอาการเฮฮาปาร์ตี้กันเป็นที่เริงรื่นชื่นบาน
“ทุกคน ก่อนอื่นครูขอประกาศผลเกมส์ก่อนนะ” มิสแรมเซิลขอเบรกความสนุกของเด็กๆด้วยการอ่านม้วนกระดาษในมือ
“ปี 2 ที่เอาผ้าเช็ดหน้ามาผูกที่ต้นไม้ได้มี....โร เซวาเรส มาทิลด้า ซิลเวอร์ แองเจลีน่า โรมานอฟ คิลมัส ฟิลมัส เรนอน ธีน็อต เฟริน เดอเบอโรว์ และคาโล วาเนบลี ยินดีด้วยนะจ๊ะ”
“เฮ...วี้ดวิ้ว” เสียงปรบมือดังสนั่นเมื่อมิสแรมเซิลประกาศชื่อหัวขโมยสุดแสบกับเจ้าชายน้ำแข็งออกมาเป็นอันดับท้ายๆ
“ส่วนปี 6 ที่ชิงผ้าเช็ดหน้ามาได้ อืม...แนะนำตัวเองแล้วกัน ครูไม่รู้ว่าใครเป็นใครน่ะ” มิสแรมเซิลหัวเราะให้กับบรรดารุ่นพี่ในชุดแฟนซีปิศาจ
“เริ่มที่ฉันก่อนก็ได้” ยมทูตยิ้มแล้วชูผ้าเช็ดหน้าขึ้น 3 ผืน “ปี 6 : โรเวน ฮาเวิร์ด ปี 2 : ซอร์โร วันวิล ทิวดอร์ วาโดรีลและ โคลว์ อาร์มสตรอง”
“ปี 6 : ไธนอส ทิลดอล ปี 2 : ครี้ด ธันเดอร์” โครงกระดูกในเสื้อคลุมแบบเดียวกับโรเวนเปี๊ยบแนะนำตัวเองบ้าง จริงๆแล้วไธนอสใส่ชุดดำที่สกรีนเป็นลายโครงระดูกต่างหาก แล้วพอใส่หน้ากากหัวกะโหลกเพิ่มเข้าไปด้วยก็เป็นอันครบชุด
“ส่วนฉัน” มัมมี่ขยับผ้าพันแผลที่เริ่มกะรุ่งกะริ่งออกแล้วโบกมือหยอยๆ “ปี 6 : ชิวาส เดเบส ปี 2 : อาชูร่า เอพริล”
“ปี 6 : โซมาเนีย มิสทรัล ปี 2 : เจค สวอน กับ เดธ ไฟเออร์” เมดูซ่าถอนใจเฮือกที่ได้ถอดหมวกแบตเตอรี่ที่ทำให้งูเคลื่อนไหวออกซะที
ตามมาด้วยท่านเคาท์แวมไพร์ที่ดวงตายังเป็นสีแดงสดเพราะไม่ได้ถอดคอนแทค เลนส์ “ปี 6 : ลูคัส ซาโดเรีย ปี 2 : เอ็ดดี้”
“เอ็ดเวิร์ด ลอเรนโซ่ตะหากคร๊าบบบบพี่” เอ็ดเวิร์ดประท้วงเสียงอ่อยด้วยความเกรงใจ๊เกรงใจซาตานตัวแอล
“ปี 6 : ลอเรนซ์ ดอร์น” ปิศาจจิ้งจอกที่ยังคงสภาพผมยาวเพราะวิกและตาสีทองด้วยคอนแทค เลนส์เช่นกันพูดไปด้วยมือก็ควานหาผ้าเช็ดหน้าที่เก็บไว้ในชุดกิโมโนสีขาววุ่นวาย “ส่วนปี 2 ก็ ซีบิล สเวน”
“ลอรี่” ลูคัสอึ้งไปนิดเพราะเดาไม่ออกว่าคู่หูคิดจะทำอะไร แต่ที่เรียกชื่อต้องห้ามได้ก็เพราะตรวจสอบแล้วว่าข่ายมนต์ยังมีผลอยู่
“พี่ลอเรนซ์ฮะ” ซีบิลเองก็พูดไม่ออก
“เฮ้!” เจ้าชายโรมรีบชูผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นแสดงกรรมสิทธิ์ “ฉันเป็นคนจับเจ้าหนูนั่นได้ต่างหาก”
“กิจกรรมของป้อมอัศวินไม่เกี่ยวกับแผ่นดินประชาชน” ลอเรนซ์ที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิดๆก่อนจะไหวไหล่แล้วคลี่ผ้าเช็ดหน้าในมือออกให้เห็นชื่อที่ปักอยู่จะๆตา “เอ้านี่! ดูซะให้ชัดๆ หมอนั่นเป็นเหยื่อของฉัน”
บนผ้าเช็ดหน้ามีเส้นไหมสีทองปักเป็นคำว่า ‘ซีบิล สเวน’ เด่นชัดถนัดตา ส่วนผืนในมือโรมเป็นผ้าสีขาวธรรมดา
“นั่นมัน” ซาตานประจำป้อมฯตะลึงไปนึดก่อนจะหันไปต่อว่าคู่หู “นายทำแบบนี้ได้ไงลอรี่ นั่นผ้าเช็ดแว่นฉัน มิน่า...หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ”
“โทษที” นักบวชตัวแอลทำหน้าครึ่งบึ้งครึ่งยิ้ม “มันคล้ายๆกับของจริงน่ะ”
“นี่หมายความว่า...” โรมชักเข้าใจอะไรขึ้นมาหน่อยๆ
“พี่แอบสับเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้าผม” นานๆทีซีบิลจังจะขออาละวาดกับเค้ามั่ง “แบบนี้ถึงผมจะเอาผ้าไปผูกที่ต้นไม้สำเร็จก็ยังถือว่าถูกพี่จับได้อยู่ดีใช่มั้ยครับเนี่ย”
“ก็ต้องงั้นสิ ตอนฉันถามว่ามีกล่องหรืออะไรมาใส่มีดสั้นมั้ยเพราะมันไม่มีปลอก เธออยากส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้เองทำไม”
.....เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่านักบวชอย่างลอเรนซ์ ดอร์นก็เจ้าเล่ห์แถมโมเมเก่งไม่ใช่เล่น
“เอาล่ะจ้ะ ถือว่ายกผลประโยชน์ให้คนที่มีผ้าผืนจริงอยู่ในมือไปแล้วกันนะ” มิสแรมเซิลทำหน้าที่กรรมการตัดสินแล้วรีบปิดประเด็นก่อนที่เรื่องจะยิ่งยุ่งไปมากกว่านี้ “ว่าแต่กิจกรรมครั้งนี้ทางป้อมอัศวินดีใจที่ปราสาทขุนนาง ปราการปราชญ์และแผ่นดินประชาชนให้ความสนใจนะจ๊ะ ครั้งหน้าถ้ามีกิจกรรมแบบนี้อีกเราจะทำบัตรเชิญไปให้ แต่ตอนนี้เราขอนักเรียนของเราคืนก่อนนะ ได้มั้ยจ๊ะ...อาเธอร์”
....แล้วกัส โทนียาก็ได้ไปเป็นเหยื่อส้มหล่นรายที่สองของไธนอส
พอหมดปัญหา..การเฉลยตัวจริงของพี่ปี 6 และชื่อน้องปี 2 ที่ถูกจับได้ก็มีต่อไปจนครบ....ถึงเวลาที่จะกล่าวปิดเกมส์และพูดเปิดงานเลี้ยงซะที ทีนี้มันมีประโยคสุดท้ายที่หลายๆคนไม่อยากให้มาถึงเลยน่ะสิ
“สำหรับคนที่รอดในเกมส์นี้ไปได้ก็ขอให้หลับฝันดี” โรเวนยิ้มกริ่มก่อนจะประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดได้ยินถนัดทั่วทุกตัวคน “และนี่คือบทลงโทษ....ขอให้ทุกคนทำตามนี้....ปี 6 ที่แย่งหน้าเช็ดหน้าไม่ได้ให้ไปช่วยกันจัดงานลอยกระทงแทนน้องปี 1 ส่วนพวกปี 2 ที่ถูกแย่งหน้าเช็ดหน้าก็...ให้ไปลอยกระทงกับรุ่นพี่ที่จับตัวเองได้แล้วกันนะ เอาล่ะเกมส์จบแค่นี้ เริ่มงานเลี้ยงได้เลย….”
555 งานฮัลโลวีน สุดท้ายไปลอยกระทง^^ แต่งมาอีกเยอะๆน้าพี่เจส รออ่านอยู่ ><
ตอบลบ