26/2/54

(Saint Seiya) : The story of us 2 (ความในใจของชากะ)



Author : jes
Pairing : เลโอ ไอโอเรีย x เวอร์โก้ ชากะ  (แต่เป็น pov ของชากะนะ)

Intro : แต่งต่อจากภาค 1 ค่ะ ภาคที่แล้วเป็น pov ของหนูเรีย เพื่อความยุติธรรมเลยเขียนเรื่องนี้แบบ
pov ของช่าบ้าง

แต่....

การเขียน pov ของชากะนี่ยาก...ยากจนแทบร้องไห้ เพราะหลวงพี่คนสวยทั้งนิ่ง ทั้งเฉย แล้วแบบนี้มันจะเขียนอะไรได้ จะรั่วแบบภาค 1 เรอะก็ไม่ใช่หลวงพี่อีก ฮือออออออ ลงท้ายเลยได้หลวงพี่แบบซึนนิดๆ โมเอ้ (มั้ง) หน่อยๆ มาแทน

สรุปว่า คนเขียนอยากเล่นของสูง บังอาจลบหลู่หลวงพี่ เวรกรรมเลยทำให้ฟิคแป้กใช่มั้ย.......

-----------------------------------------------------------------------


เวลาย่ำรุ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ.....

ปลายฟ้า...เริ่มปรากฏเส้นบางๆ สีจางระเรื่อที่ค่อยๆ ทวีความอบอุ่นขึ้นทีละน้อย ประกายแสงเล็กๆ ก่อตัวขึ้นช้าๆ ก่อนทอดตัวเป็นแนวยาว สักพักแสงเงินแสงทองก็ส่องรัศมีใสกระจ่างเป็นการต้อนรับวันใหม่

แต่....

ทั่วทั้งแซงค์ทัวรี่ยังคงเงียบกริบผิดจากปรกติ เพราะไม่มีเสียงสวดมนต์ประจำวิหารเวอร์โก้ที่มักดังขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ จนแสงอาทิตย์ยามเช้าทอประกายระยิบระยับจับตา สายลมเย็นเริ่มพัดพลิ้วไปมาพาให้ใบไม้และยอดหญ้าสีเขียวไหวลู่ไปตามแรง

วิหารเวอร์โก้ก็ยังคงเงียบสนิท....

...เป็นแบบนี้

...เป็นแบบนี้มาแล้วเกือบทั้งอาทิตย์

ตอนนี้โกลด์เซนต์เวอร์โก้ ชากะ กลับเอาแต่นอนขดตัวนิ่งๆ อยู่บนเตียง ผิดจากทุกวันที่จะต้องตั้งต้นสวดมนต์ภาวนา ชำระล้างจิตใจ และทำวัตรเช้า เพื่อโปรดสัตว์โลกตามปรกติ ใครถามก็ตอบมันง่ายๆ ได้ใจความชัดเจนว่า..

เบื่อ ไม่มีอารมณ์

จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง ร่างสูงใหญ่ที่นอนหลับสบายอยู่บนพื้นหน้าเตียงเริ่มขยับตัวนั่นแหละ คนที่ตื่นนานแล้วแต่ไม่ยอมลุกสักทีก็รีบสะบัดผ้าห่มที่เดิมคลุมอยู่ถึงคอออกไปข้างๆ แล้วซุกหน้าลงกับหมอน แกล้งทำเป็นยังหลับอยู่ได้แบบเนียนๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วกะแอบมองปฏิกิริยาของคนที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก

ไอโอเรียลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ สักพักให้หายสะลึมสะลือก่อนเก็บอุปกรณ์การนอนของตัวเข้าที่ พอเรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะใส่ใจปรายตามองใครอีกคนที่ยังอยู่ในห้องเลยสักนิด

ผู้ใกล้เคียงพระเจ้า ถอนหายใจยาวด้วยความผิดหวัง

ไม่มีเสียงงอแงเหมือนเด็กขี้เซา เอาแต่ใจ เวลาถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้า ไม่มีปฏิกิริยาเอะอะ โวยวาย เมื่อถูกบังคับให้ทำอะไรที่ไม่ชอบ ไม่มีรอยยิ้มและความเป็นห่วงเป็นใยแบบทื่อๆ ซื่อๆ ติดจะบื้อเล็กน้อยที่เจ้าตัวพร้อมจะแจกจ่ายให้กับทุกคนรอบข้าง

...ที่จริงแล้ว...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องที่สุด คือ... คนที่เพิ่งเดินออกไปข้างนอกเมื่อกี้ไม่ใช่ ไอโอเรีย คนเดิมที่เคยรู้จักเลยสักนิด

... มันเป็นเพราะอะไร มันเกิดอะไรขึ้น


......................


วันนั้น.....

กิจวัตรยามเช้าประจำวิหารเวอร์โก้ยังคงดำเนินไปไม่ต่างจากเดิม เริ่มจากการสวดมนต์รับวันเช้าใหม่ก่อนเวลาไก่จะตื่นพักใหญ่ ต่อด้วยการทำสมาธิในห้องโถงกลางวิหารไม่ก็เดินจงกรมใต้ต้นสาละไปเรื่อยๆ จนสายจวนเที่ยงแล้วนั่นแหละจึงจะได้ทานข้าวเช้ากัน

ทีนี้..แต่ไหนแต่ไรมาทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น....เพิ่งจะมามีปัญหาเอาก็ตอนที่ทางวิหารต้องรับหน้าที่เลี้ยง แมววัด ตามคำสั่งของอาเธน่านี่ล่ะ มันเลยช่วยไม่ได้ที่หลวงพี่คนสวยต้องจัด คอร์สอบรมบ่มนิสัย ให้เจ้าเหมียวตัวยุ่ง เผื่อว่าจะได้เห็นแสงสว่างแห่งพระธรรมกับเขาบ้าง 


เริ่มตั้งแต่เช้ามืด

ท่ามกลางแสงไฟสลัว คนที่ตื่นก่อนใครเพื่อนแถมยังตรงเวลาเป๊ะทุกวันค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนกะพริบแพขนตายาวสองสามทีเพื่อขับไล่ความง่วงงุน แต่พอยันตัวลุกขึ้นผ้าห่มเนื้อนิ่มก็หล่นลงมากองที่เอว

...ผ้าห่ม? จากไหน?

พอเหลียวมองไปรอบๆ ก็ต้องแย้มรอยยิ้มบางออกมา แล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำไปโดยระวังไม่ให้สะดุดเอาแมววัดตัวโตที่ยังหลับอุตุอยู่หน้าเตียงเข้า

...เห็นแก่ผ้าห่ม จะปล่อยให้นอนอีกหน่อยก็ได้

จนทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วนั่นแหละ ถึงได้เข้ามานั่งใกล้ๆ สักพักมือเย็นๆ นุ่มๆ ก็ยื่นออกไปเขย่าปลุกที่ไหล่ เท่านั้นเจ้าแมวที่นอนหลับสบายอยู่ในถุงนอนหนานุ่มที่เจ้าตัวอุตส่าห์หอบหิ้วมาจากวิหารเลโอก็โวยวายสนั่นทั้งๆ ที่ยังหลับตาปี๋

“ไม่...ม่ายยยยยยย...”

“ไอโอเรีย ตื่น ได้เวลาสวดมนต์แล้ว” น้ำเสียงคนปลุกค่อนข้างราบเรียบแต่หางเสียงติดจะแข็งเล็กน้อย

“ไม่...ไม่ไป” เจ้าเหมียวยอมลืมตาขึ้นนิดนึงอย่างเสียไม่ได้ก่อนยกมือขึ้นปัดเส้นผมยาวๆ ชื้นๆ ที่ปลิวมาระใบหน้าออกไป ตามด้วยการพลิกตัวกลับแล้วดึงเอาหมอนขึ้นมาปิดหัวไว้

“เช็ดผมให้แห้ง..แล้วนายจะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่งกับฉัน”

“เดี๋ยวก็เช้าแล้ว นายจะเอาแต่นอนอยู่ทำไม”

“มันเรื่องของฉัน” แมวยังคงดื้อไม่เลิก “ตอนนายอยู่วิหารเลโอ ฉันยังไม่เคยบังคับให้นายทำอะไรสักอย่าง”

“ไอโอเรีย...” คราวนี้เสียงชากะบอกชัดว่าชักโมโห “ที่นี่คือวิหารเวอร์โก้ นายอยู่ที่นี่ก็ต้องทำตามกฎของฉัน ...จะลุกไปสวดมนต์เองดีๆ มั้ย”

“ไม่” เสียงขู่ฟ่อๆ ชนิดงานนี้สู้ตายดังลั่น ได้ยินกันไปทั้งแซงค์ทัวรี่ล่ะมั้ง แต่ไม่ทันไรเจ้าเหมียวนิสัยเสียก็มีอันต้องกระเด้งกระดอนหนีออกจากถุงนอนแทบไม่ทัน เมื่อหลวงพี่ช่าตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้ายด้วยการ.....


เงื้อมือขึ้น


แล้วฟาดผัวะๆ ๆ ๆ ลงไปที่หลังและไหล่ของแมวเอาแต่ใจชนิดไม่ออมแรง ไม่มียั้ง และไม่นับ

“เจ็บ ชากะ เฮ้ย! ไปก็ได้ บอกว่ามันเจ็บไง...”

ไอโอเรียโวยลั่น แต่ก็ยอมลุกขึ้นเดินหัวฟูไปอาบน้ำแต่โดยดี โดยมีเสียงหลวงพี่ตามไล่หลังไป

“ห้ามแอบนอนต่อในห้องน้ำนะ ถ้า 15 นาทีแล้วยังไม่ออกมา ฉันจะตามไปลากนายออกมาเอง อ้อ! แล้วเก็บถุงนอนของนายเข้าที่ให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”


ต่อมา...แม้จะกึ่งบังคับกึ่งขู่เข็ญจนแมวจำใจต้องยอมออกมาที่ห้องสวดมนต์จนได้ แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด

ระหว่างที่หลวงพี่กำลังเดินจงกรม ทำสมาธิ พิจารณาสัจธรรมอันแท้จริงของโลกกันอยู่นั้น.....ก็ดันเกิดเหตุประท้วงขึ้น

เมื่อย เหนื่อย พัก หนูเรียที่อดทนเดินจงกรมได้ครึ่งชั่วโมงนั่งแปะลงบนพื้นพลางเอนหลังพิงผนังห้องมันซะอย่างนั้น

“ไอโอเรีย...อย่างอแง”

หิว คนตัวโตยังไม่เลิกโยเยด้วยการแกล้งหันหลังให้ไม่ต่างอะไรกับแมวกำลังงอนเจ้าของ

“งั้น...เลือกเอาแล้วกันว่าจะยอมตั้งใจนั่งสมาธิอีกชั่วโมงนึงหรือจะกลับเข้าไปนอนต่อแต่ต้อง อดข้าวเช้า”

......เฮ้ย...อะไรนะ

พอเจอไม้ตายขั้นสุดยอดเข้าไป ไอโอเรียก็โดนสอยร่วงน็อกคาเวทีจนต้องยอมกัดฟันลุกขึ้นมานั่งสมาธิต่อ

แต่แล้วอีกแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมาก็มีร้องลั่นดังขึ้น

“โอ๊ย!

เสียงใครคงเดากันถูก เมื่อหลวงพี่เปลี่ยนวิธีปลุกมาเป็นการสะบัดสายประคำคู่มือใส่แบบไม่เบานักแทน เพราะรู้ซึ้งแล้วว่าการใช้กำลัง แม้จะทำให้คนตัวโตตื่นได้ก็จริง แต่ก็ต้องแลกกับการเจ็บมือ..ดูๆ แล้วมันไม่ค่อยคุ้มกันเท่าไหร่

“นั่งสมาธิ ไม่ใช่นั่งหลับ”

“ฉันนั่งสมาธิในฝัน” ไอโอเรียที่ยังรมณ์บ่จอยไม่เลิกเถียงไปได้น้ำขุ่นคลั่กพลางลูบหลังป้อยๆ “แค่ทำปากขมุบขมิบตามบทสวดอะไรไม่รู้เรื่องอยู่เป็นชั่วโมงๆ นั่นก็เต็มกลืนแล้ว ใจคอนายจะให้ฉันทนนั่งหลับตานิ่งๆ อีกเรอะ แล้วยังจะอากาศตอนเช้าเย็นๆ แบบนี้อีก...นายเองก็คงแอบหลับมั่งเหมือนกันล่ะน่า แต่เพราะหลับตาเลยไม่มีใครรู้ จริงมะ..”

เท่านั้น.....บรรยากาศขรึมขลัง แฝงพลังศักสิทธิ์ในห้องสวดมนต์ก็แผ่วจางลง เพราะหลวงพี่ชักมือไม้กระตุก อยากปิดประตูตีแมวเต็มแก่ แต่ก็ต้องพยายามปั้นหน้านิ่งสุดชีวิตเพื่อรักษาภาพพจน์ที่ดีเอาไว้

...คราวนี้มาแผนสูงนะเจ้าเหมียว คิดจะก่อกวนความสงบจนฉันทนรำคาญไม่ไหว เลิกบังคับให้นายมาสวดมนต์ ทำสมาธิอีกสินะ ไม่มีทางซะล่ะ

“ออกไป”  ในที่สุดก็ออกปากไล่แมวมันดื้อๆ “ไอโอเรีย..นายออกไปรอข้างนอก ไปรอที่ต้นสาละโน่นเลย เดี๋ยวฉันตามออกไป”


ไอโอเรียดูสดชื่นขึ้นไม่น้อยหลังจากได้ออกมายืดเส้นยืดสายในสวนสาละข้างวิหาร เพราะในเวลาไม่ถึง 10 นาทีที่ชากะใช้สงบสติอารมณ์ให้เข้าที่เข้าทางก่อนเดินตามออกมา ไอโอเรียก็รดน้ำต้นไม้กับกวาดสวนเสร็จสรรพเรียบร้อยด้วยสีหน้าท่าทางมีความสุข

“โตขึ้นเยอะนะ” เจ้าแมวเหมียวส่งยิ้มให้ต้นสาละที่เคยอยู่หน้าวิหารเลโอ “เดี๋ยวฉันจะแต่งกิ่งให้ใหม่ เอาให้นิ้งไปเลยดีมั้ย”

“นั่งลง แล้วทำสมาธิ”

“อืม...ทำให้ต้นเดียวคงไม่ดีสินะ ต้นที่เหลือคงน้อยใจแย่ งั้นเดี๋ยวฉันจัดการตัดแต่งใหม่ให้หมดทั้งสวนเลย” ไอโอเรียยังพยายามทำหูทวนลมต่อไป

“ได้ยินที่ฉันพูดมั้ย”  คราวนี้น้ำเสียงคนพูดทั้งเข้มทั้งแข็งกระชากใจคนฟัง ทำเอาร่างสูงใหญ่ชะงักกึก หน้าตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง

ร่างบางลอบยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ต้องการก่อนใช้คำพูดรุกต่อไป

“แค่ทำสมาธิ ทำจิตให้ว่างไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเซนต์ไม่ใช่เหรอ แค่นั่งนิ่งๆ สัก 10 นาทีไม่ถึงตาย แต่เท่าที่ฉันเห็น...นายทำไม่ได้”

“ฉัน....”

เสียงพูดเงียบหาย ไอโอเรียยกมือแตะต้นสาละเบามือเหมือนขออนุญาตก่อนทรุดตัวลงนั่งเอนหลังพิงโคนต้นแล้วหลับตาลง

บรรยากาศโดยรอบ...นิ่ง...เงียบ...สงบ ไม่ต่างจากเวลาที่เจ้าของวิหารเข้าสมาธิแม้แต่น้อย


... ผ่านไป 5 นาที

...20 นาทีก็แล้ว

...ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว


ชากะขมวดคิ้ว เมื่อพบว่าอีก 10 นาทีก็จะครบ 1 ชั่วโมง

...มันนานเกินไปรึเปล่า

...หรือว่า

“ไอโอเรีย ห้ามหลับนะ”  ชากะกระซิบดุๆ พลางยื่นมือออกไปหมายจะเขย่าปลุกแรงๆ สักที แต่กลายเป็นว่าถูกอีกฝ่ายยึดข้อมือไว้แน่น

“นายน่าจะรู้นะว่า การรบกวนคนที่กำลังทำสมาธิอยู่ มันบาป”

ไอโอเรียลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วหันหน้ามาหา ทว่าเมื่อจ้องลึกลงไปในนัยน์ตาสีเขียวที่กำลังมองตรงมากลับพบแต่ความเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

“ปล่อย...มือ...ฉัน”

แม้จะขู่เสียงแข็งชนิดเน้นทีละคำ แต่แท้จริงหัวใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำเพราะนึกไม่ออกว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง

มือใหญ่คลายออกจากข้อมือบางง่ายดาย ร่างสูงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งนี้แม้ไม่รู้สึกถึงคอสโม่ แต่ก็เหมือนมีพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นล้อมรอบคนตรงหน้าไว้

“ขอโทษถ้าทำให้บาดเจ็บ แต่คิดว่าคงไม่เป็นอะไร” นิวไอโอเรียพูดเสียงเบาๆ เนิบๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำเหลือเกินในความรู้สึกของคนฟัง “การทำสมาธิน่ะมันมีหลายวิธีนะ แต่ละคนย่อมมีสิทธิจะเลือกวิธีฝึกที่เหมาะสมกับตัวเอง แล้วจะมากะเกณฑ์ให้ฉันทำแบบนั้นแบบนี้...มันถูกต้องแล้วใช่มั้ย หืออออ...   ผู้ใกล้เคียงพระเจ้าที่สุด เวอร์โก้ ชากะ”  

พูดจบ..ก็หมุนตัวเดินจากไปง่ายๆ ทิ้งให้คนข้างหลังยืนนิ่งด้วยความตะลึง

.................................................................

จากเหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมา วิหารเวอร์โก้ก็กลายเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าโกลด์เซนต์มีปัญหาขึ้นมาทันที

“ม๊ายยยยยย ไม่ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายช้า..นนนนนนนนน” เสียงโวยวายแบบนี้คงจะเป็นของคนอื่นไปไม่ได้นอกจากพี่รอสของน้องเรีย

“อยู่ๆ เจ้าไอโอเรียมันเกิดจะโตเป็นผู้ใหญ่ จอมหลักการ มีเหตุมีผล แถมวางมาดยังกะคุณชายหลุดมาจากมิติไหนอย่างนั้นในชั่วข้ามคืนได้ยังไง หา....”

มันจะอะไรนักหนา..ปาเข้าไปเกือบจะอาทิตย์อยู่แล้ว แต่พี่ม้าของน้องแมวก็ยังคงพิรี้พิไรคร่ำครวญหวนไห้ไม่ยอมเลิก ตกบ่ายเป็นต้องอัญเชิญตัวเองมาที่นี่ แล้วก็เอาแต่นั่งจุ้มปุ๊กบนเบาะรองนั่งใบใหม่ที่ทั้งใหญ่ หนา และนุ่มเป็นพิเศษ ชนิดไม่ยอมลุกไปไหน จนว่าจะได้เห็นหน้าน้องชายสุดที่รักกลับมาตอนเย็นๆ แล้วนั่นล่ะ ถึงจะยุรยาตรพาตัวเองกลับไป

อ้อ...เบาะใบนั้น ไอโอเรียเป็นคนหามา ไอที่แก้ตัวว่าจะได้นั่งสมาธิสบายๆ น่ะ ไม่ใช่หรอก กะเอาไว้นั่งทอดอารมณ์ จิบกาแฟไปพลาง ผึ่งแดดไปพลาง แถวๆ ริมหน้าต่างมากกว่า

ชากะไล้นิ้วมือไปตามเบาะรองนั่งขนาดย่อมกว่านิดหน่อย แต่สีกับลายเดียวกัน ที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมากลางบัลลังก์ดอกบัวคู่ใจอย่างกับมีแมวแอบมาทิ้งเอาไว้

...มันทั้งนุ่มทั้งนั่งสบายอย่างว่าจริงๆ ด้วย


“นายทำอะไรน้องชายฉันวะช่า” เสียงโยเยของไอโอรอสดึงชากะกลับมาจากภวังค์ “ไอโอเรียมันเลยเพี้ยนได้เพี้ยนดี เพี้ยนได้ถึงขนาดแบบเน้ โฮ....”

“ฉัน...” ชากะที่พยายามใช้ความนิ่งสงบสยบบรรดาเสียงโหยหวนพูดไม่ออก จะบอกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยก็ไม่ได้


...ฉันเอง ชากะคนนี้นี่แหละที่เป็นคนบีบคั้นจนไอโอเรียต้องกลายเป็นแบบนั้น


พักใหญ่ๆ พอไอโอรอสเริ่มจิบชาอุ่นๆ เจ็บคอ เสียงก็ค่อยเงียบลงหน่อย แต่แค่ชั่วอึดใจเสียงใหม่ก็ดังขึ้น

“แง เจ้าเหมียวเรียเพื่อนยาก”

...นี่ก็อีกคน

น้องเหมียวแฟนคลับใช่ว่าจะมีแต่ไอโอรอสคนเดียวเมื่อไหร่ เจ้าแมงป่องมิโร่ก็พลอยเป็นไปกับเค้าด้วย แต่ดีหน่อยที่เจ้ามี่มันเข้าใจพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการทำตัวเกาะแน่นติดหนึบอยู่กับคามิวที่จำใจต้องคอยปลอบด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างๆ สวนหย่อมขนาดเล็ก

...สวนหย่อมขนาดเล็ก ในห้องโถงกลางวิหารเวอร์โก้นี่ล่ะ

ก็ฝีมือเจ้าเหมียวจอมยุ่งอีกตามเคย วันแรกที่เยี่ยมหน้าเข้ามาเห็นวิหารเปล่าๆ มีแต่พื้นสีเทาและกำแพงหินเย็นๆ ก็ถอนใจเฮือกแล้วเอาแต่บ่นกระปอดกระแปดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่า

...วิหารนาย ทำไมมันทั้ง โล่งทั้งแห้งแล้งอย่างนี้

วันรุ่งขึ้น..กระถางต้นไม้เล็กๆ ไม่กี่กระถางก็นำทีมเข้ามาก่อน .....โอเค ยังพอรับได้

วันถัดมา หน้าต่างทุกบานก็มีกระถางดอกไม้สีสดใสแขวนเรียงเต็มพรืดไปหมด ......ก็ได้ แค่นี้หยวนๆ

พอเห็นไม่ว่าอะไรเข้าหน่อย เจ้าแมวตัวดีเลยได้ใจใหญ่ อีกสามวันถัดมาก็ลงทุนจัดสวนกลางวิหารมันซะเลย ทั้งต้นไม้ ทั้งดอกไม้ ขนมาให้เพียบ แล้วยังมีหน้ามาทำเป็น แมวงง แมวไม่รู้ แมวไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะว่า ทำไมมันถึงได้เยอะขนาดนี้

... เจ้าเหมียวเอ๊ย! ไม่เนียนซะเลย ไปฝึกโกหกมาใหม่เถอะ ไป๊!

... ตอนแรกๆ ก็ไม่ชอบหรอก แต่นั่งมองไปมองมา ดอกไม้สวยๆ กลิ่นหอมๆ มันก็สดชื่นดีเหมือนกัน


“เพื่อนซี้ฉันเปี้ยนไป๋” เจ้ามีมี่ส่งเสียงคร่ำครวญต่อจากไอโอรอสได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งกว่านัดคิวกันไว้ “แล้วทีนี้ใครจะมาหัวเราะเวลาฉันทำอะไรบ๊องๆ หรือใครจะมาทำอะไรบ๊องๆ ให้ฉันหัวเราะกันล่ะ แง๊.........”

“โอ๊ย! เงียบๆ กันหน่อยได้มั้ย จะโวยวายไปให้มันได้อะไรขึ้นมา คนยิ่งกลุ้มๆ ใจอยู่” เสียงตวาดแว้ดแบบแกะสติแตกของมูที่นั่งหน้าเครียดกุมขมับอยู่ใกล้ๆ บัลลังก์ดอกบัวดังขึ้น “ถ้าว่างนักก็มาช่วยกันคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใครหรืออะไรที่สามารถล้างสมองไอโอเรียได้ขนาดนี้...จะได้หาวิธีแก้…..

“นี่...ชา” ท่าทางคามิวคงรำคาญเต็มแก่ เลยบริการชงชาเพิ่มแล้วเสิร์ฟให้ทุกคนด้วยการยัดใส่มือมูกับไอโอรอสมันง่ายๆ ก่อนจ่อถ้วยชาให้ถึงปากมิโร่พร้อมส่งสายตาข่มขู่แกมบังคับว่า....แกจะกินเองดีๆ หรืออยากให้ฉันกรอก เลือกเอา

ในที่สุดทั่วทั้งวิหารก็มีแต่เสียงจิบชาเบาๆ

ชากะมองถ้วยชากุหลาบหอมกรุ่นในมือ ...เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อยู่ๆ ก็มีดอกกุหลาบกำลังบานเต็มที่หลายสิบดอกวางกองอยู่ในครัว ส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่ว ใกล้ๆ กันมีกระดาษโน้ตแปะอยู่ มีข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือหนา หนัก อ่านได้ความว่า

... ทำใบชาให้หน่อย

เพราะเสียดายกุหลาบหรอกนะ ถึงยอมทำให้ แต่พอกลีบกุหลาบแห้งได้ที่ เจ้าตัวก็เสนอหน้ามาชงดื่มเป็นคนแรก แล้วพึมๆ พำๆ ด้วยใบหน้าที่สะกดคำว่า ละอายใจไม่เป็นว่า

...คุ้มค่าจริงๆ ที่ยอมเสี่ยงตายไปเก็บมาจากวิหารปลาทอง

เล่นเอาคนทำชาที่กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดขโมยดอกกุหลาบไปโดยไม่รู้ตัวพูดอะไรไม่ออก พอเจ้าแมวแสบหันมาเห็นเข้าแทนที่จะขอโทษ ยังมีหน้ามายักคิ้วล้อเลียนให้อีกแน่ะ

...ถ้าอะโฟรดิตี้ตามมาเอาเรื่องล่ะก็ ฉันจะบอกว่า..ฝีมือนาย ฝีมือนายทั้งหมด ฝีมือนายคนเดียวเลย ไอโอเรีย คอยดู!


“แล้วท่านเคียวโกว่ายังไงบ้าง”

จิบชากันไปได้พักใหญ่ๆ คามิวที่ดูจะเป็นคนที่มีสติมากที่สุดก็ถามขึ้น

“ไม่มีบาดแผลบาดเจ็บจากการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยเวทมนตร์คาถาหรือคาสาป” ลูกศิษย์สุดที่รักของท่านเคียวโกทำหน้ามุ่ย “ที่สำคัญไอโอเรียไม่มีฝาแฝดหรือนิสัยผีเข้าพระเจ้าออก...อาจารย์ชิออนว่าอาจเป็นไปได้ที่.....”

“ที่....”

ทุกคนในวิหารดวงตาเป็นประกายด้วยความหวัง พร้อมใจประสานเสียงทวนคำกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่คนที่เอาแต่นิ่งเงียบอยู่เสมอ

“อาจารย์ไม่ยอมบอก”

....แป่วววววววววววว

“ดูนะ...อาจารย์ชิออนชอบอกชอบใจยกใหญ่ บอกว่ากำลังอยากได้เลขาชั่วคราวมาช่วยงานอยู่พอดี แล้วเลยเขี่ยฉันตกกระป๋องมานั่งกลุ้มอยู่เนี่ย คิดแล้วมันน่าน้อยใจซะไม่มี ฮืออออออออออ.....อาจารย์ใจร้าย...ใจร้ายยยยยยยยยยย มากๆ เลยยยยยยยยยยยยยยย”

ลงท้ายเจ้าแกะมูก็ปล่อยโฮออกมาเต็มเหนี่ยว เพราะกลัวได้เป็น แกะหัวเน่า เต็มทน

“ท่านมู..” เสียงเล็กๆ ดังขึ้น ก่อนเจ้าแกะจิ๋วที่ถูกส่งไปสืบราชการลับแถวน้ำตกโรซันจะโผล่หน้าเข้ามาหา

“ว่าไงกิกิ ได้เรื่องมั้ย”

“ปู่พูดเหมือนท่านชิออนเป๊ะเลยว่า...ดูแล้วไม่มีบาดแผลบาดเจ็บจากการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยเวทมนตร์คาถาหรือคาสาป ที่สำคัญไอโอเรียไม่มีฝาแฝดหรือนิสัยผีเข้าพระเจ้าออก...เพราะงั้นอาจเป็นไปได้ที่เจ้าตัวอาจจะช็อก ตกใจ โมโห เสียใจ หรืออะไรสักอย่าง...อย่างรุนแรง แรงจนประสาทสัมผัสบิดเบือน บุคลิกภาพกับนิสัยเลยเปลี่ยนไป แต่ปู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังงี้ไปเรื่อยๆ หรือเดี๋ยวก็หาย” เจ้าแกะกิรายงานภารกิจที่ได้รับมอบหมายรวดเร็วชนิดไม่ต้องหายใจหายคอ

“จริงเหรอ...ถ้างั้น...” สีหน้าพี่ม้าค่อยดีขึ้นมาหน่อย แววตาเจ้าเล่ห์หรี่ลงนิดๆ แล้วเหล่มองคนที่อยู่ข้างๆ

“เราก็หาวิธีอะไรก็ได้ ให้เจ้าไอโอเรียมันช็อกอีกสักรอบสองรอบ...” น้ำเสียงแมงป่องมีมี่สดใสขึ้นมาทันตาเห็น

“รับรอง..หายเพี้ยน กลับมาเป็นแมวบ๊องๆ เหมือนเดิมแน่ๆ เลย เย้!” แกะมูฉีกยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมใบยักษ์ด้วยความดีอกดีใจ

“แล้วจะทำยังไง” มิวมิวยังคงรับหน้าที่เป็นคนคอยเรียกสติเพื่อนฝูงอีกครั้ง “อย่าลืมว่าไอโอเรียก็เป็นโกลด์เซนต์ ถ้าจะแกล้งหลอกให้ตกใจ หรือคิดจะขว้างอะไรใส่หัวให้สลบน่ะ ลืมไปได้เลย..”

“ไม่เห็นยาก” ไอโอรอสแทบตบเข่าฉาดแล้วดึงมือมูมากุมไว้แน่น “มูจ๊ะ เจ้าไอโอเรียน้องชายฉัน ดูไปดูมาก็หน้าตาออกจะดี ใจก็กว้าง มารยาทก็พอไหว ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ช่วย...”

“ช่วย?” เจ้าแกะสีชมพูทำหน้าแหย ใจนึงรู้ซึ้งถึงความป่วนของโกลด์เซนต์รุ่นพี่ แต่อีกใจนึงก็อยากรู้ว่าไอโอรอสจะให้ช่วยอะไรอยู่ดี

“ช่วยกอดเจ้าไอโอเรียแล้วบอกรักมันทีสิ”

“หะ....หา” แกะเอ๋อไปแล้วครับท่าน

“เฮ้ย!.....” เซนต์ที่เหลือก็อึ้งกิมกี่ไม่น้อยกับไอเดียอันแสนกิ๊บเก๋นี้

“จะ..จะ..จะให้ฉัน.....” แกะเริ่มเถียงเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเริ่มขึ้นสีระเรื่อจนเห็นได้ชัด “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ”

“นั่นล่ะ ที่ต้องการ” นัยน์ตาเฮียรอสเป็นประกายวิบวับเมื่อนึกถึงแผนการอันสุดแสนจะประเสริฐเลิศเลอเพอเฟกท์ที่ตัวเองเพิ่งคิดขึ้น “ถ้าเจ้าเรียมันโดนผู้ชายด้วยกันสารภาพรักล่ะก็ รับรองมันต้องตกใจ ช็อก อึ้ง สติแตก แล้วก็กลับมาเป็นน้องชายที่น่ารักของฉันเหมือนเดิมแน่ๆ เพราะงั้น...นายต้องช่วยฉันนะมู นะ นะ นะ หรือถ้าแค่กอดกับบอกรักไม่พอ จะทำอย่างอื่นเพิ่มด้วยก็ได้ พี่ชายคนนี้ไฟเขียวเต็มที่

...คราวนี้ได้ อึ้ง กันถ้วนทั่วทุกตัวคน

“ไม่เอา” มูสะบัดหน้าพรืด พยายามดึงมือออกจากมืออีกฝ่าย “ถึงจะเป็นไอโอเรียก็เถอะ ลองทำแบบนั้นสิ รับรองได้ถูกตัดออกจากกองมรดกของท่านชิออนแหง ที่สำคัญ..ทำไมต้องเป็นฉันด้วย”

“ก็มันไม่เหลือใครแล้วนี่” พี่ม้าว่าเข้านั่น แถมไม่ยอมปล่อยแกะที่เพิ่งจับได้ไปง่ายๆ “จะให้เจ้ามี่กับมิวมิวบอก มันคงน่าเชื่อตายล่ะ ในเมื่อมดทั้งแซงค์แทบเป็นเบาหวานตายเพราะเจ้าสองคนนี่หมดแล้ว ถ้าเป็นอันเดหรือเจ้าแช่ม ก็ไม่ไหว..แมนเกินไป ส่วนสง่ากับชูชู่นั่นแฟนฉัน ห้ามใครแตะ สุดท้ายถ้าเป็นยัยตี้มีสิทธิ์โดนไลท์นิ่ง พลาสม่าสอยเอาได้ง่ายๆ

“ยังไงก็ไม่ ไม่ ไม่”

“เอาน่า ความหวังอยู่ที่นายคนเดียวนะ”

“ม่ายยยยย.....”

“เหอะน่า นะ นะ”

“แง จะฟ้องอาจารย์ชิออน เค้าจะฟ้อง”

“เออน่า ทำตามแผนก่อนแล้วค่อยฟ้องก็ได้”

...

...



เฮ้อ!

ในที่สุดเจ้าของวิหารก็เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวต้องหนีออกมาหาความสงบข้างนอก ขณะค่อยๆ เดินออกไปที่สวนต้นสาละ แสงอาทิตย์ที่ส่องประกายกล้ามาทั้งวันก็ใกล้จะลาลับที่ปลายฟ้า เหลือเพียงแสงจางๆ ที่อาบไล้ทุกสิ่งเบื้องล่างให้เป็นสีน้ำผึ้ง บางส่วนส่องกระทบผิวสระน้ำเล็กๆ เป็นประกายระยับระยับ

...นี่ก็ฝีมือไอโอเรียอีกเช่นกัน

อยู่ๆ ก็เกิดจะมาขุดบ่อล่อปลา เอ้ย ขุดสระน้ำเลี้ยงปลาขึ้นมา ให้เหตุผลมันง่ายๆ ตามเคยว่า

... ปล่อยนกปล่อยปลาเป็นกุศลนะหลวงพี่ที่รัก เผื่อใครเค้าอยากทำบุญ สะเดาเคราะห์ จะได้เอาปลามาปล่อยไง

ได้ยินแล้วชักอยาก ปล่อยแมวเข้าป่า เป็นกำลัง นี่ถ้าไม่ห้ามเอาไว้เด็ดขาดล่ะก็ มีหวังสารพัดสารพันปลาได้ยกโขยงกันมาท้าแข่งว่ายน้ำกันในสระแน่ ส่วนตัวต้นคิดก็เอาแต่บ่นบู้บี้ด้วยความขัดใจแล้วก็ไปง่วนกับการเสาะหาพันธุ์ดอกบัวสีต่างๆ มาปลูกแทน

...สวย จนอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นครั้งแรก ได้เปลี่ยนมาเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิริมสระน้ำบ้างก็ดีเหมือนกัน  


แค่นายมาอยู่ด้วยเกือบเดือน วิหารเวอร์โก้ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

หรือว่า

...ที่เปลี่ยนไป คือ ฉันคนนี้ กันแน่


ในเมื่อ....

หลังจากไอโอเรียเดินออกไปจากห้องสวดมนต์ก็หายไปทั้งวัน ทิ้งให้ชากะต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจไว้ จนได้เวลาอาหารเย็นนั่นล่ะ ถึงได้โผล่มาให้เห็นหน้าเห็นหนวด(แมว)

แค่ยกกับข้าว(เจ)จานแรกออกมาจากในครัว ชากะก็ถึงกับชะงักเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นั่งรอนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้ตัวโตมุมห้อง ส่วนตรงกลางเป็นโต๊ะกินข้าวที่จัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ไว้เรียบร้อยครบครัน ต่างจากทุกทีที่มีแค่จานข้าว แก้วน้ำ และช้อนเท่านั้น

แสงสีส้มแสนอบอุ่นจากเปลวเทียนหอมที่จุดไว้บนโต๊ะจับเสี้ยวหน้าที่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ จนได้ยินเสียงวางจานลงบนโต๊ะเบาๆ เจ้าตัวถึงได้หันมามองแล้ว....ยิ้ม....

... ไม่มีเสียงโวยวายหาว่าทำกับข้าวช้า หรือหน้าตาบูดๆ เพราะชักโมโหหิวที่จะค่อยๆ คลี่บานออกพร้อมกับนัยน์ตาที่เป็นประกายวาววับเมื่อเห็นจานกับข้าวที่ทำเสร็จแล้ว ตามด้วยลุกขึ้นมาช่วยยกจานที่เหลือออกมาวางด้วยความเริงร่าเหมือนทุกที

กระทั่งแม่ครัวยกกับข้าวจานสุดท้ายมาวางแล้วเริ่มลงมือตักข้าวเข้าปากน่ะแหละ คนที่เอาแต่นั่งนิ่งๆ ถึงได้ฤกษ์ขยับตัวลุกมานั่งกินข้าวด้วย

... ทั้งที่เมื่อก่อน เวลาทำกับข้าวจะมีแมวตัวใหญ่คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ คอยคุยนั่นคุยนี่ ถามโน่นถามนี่วุ่นวายจนเวียนหัวไปหมด ลงท้ายต้องไล่ตะเพิดออกไปข้างนอก เพราะปากไม่ถามเปล่า ยังชิมกับข้าวที่เพิ่งทำเสร็จหมดไปเกือบครึ่งจาน

รสชาติอาหารที่ปรุงสุดฝีมือกร่อยสนิท แทบเรียกได้ว่าแค่ตักๆ เข้าปากไปให้อิ่มท้องเท่านั้น แต่พอจะวางช้อนทีไรก็จะมีมือใหญ่ๆ หนาๆ ตักกับข้าวจานโน้นบ้างจานนี้บ้างมาใส่จานให้ทุกครั้ง

ไอโอเรียก็เอาแต่ยิ้มเรื่อยๆ...ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ตักกับข้าวให้ก็ยิ้ม เลื่อนจานผลไม้มาให้ก็ยิ้ม เติมน้ำให้ก็ยิ้ม เอาแต่ยิ้มอยู่นั่น ยิ้มได้ยิ้มดี ยิ้มมันตลอดเวลา

...คิดจะทำสงครามประสาทกันใช่มั้ยเจ้าเหมียว ถึงกดดันกันด้วยรอยยิ้ม ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนถ้ามีอะไรไม่พอใจก็จะแสดงออกมาตรงๆ แท้ๆ

...ว่าแต่ ยิ้มแบบนี้ไม่เคยเจอมาก่อน ทำไงดี...ทำไงดีล่ะ

...โอเค ยอมรับก็ได้ว่าเรื่องทำสมาธิ ฉันเป็นคนผิด แต่..นายก็ผิดเหมือนกันที่เอาแต่โวยวายอาละวาดไม่ยอมพูดกันให้รู้เรื่อง เพราะงั้นก็ต้องแบ่งความผิดกันคนละครึ่งสิ ถึงจะถูก จะมาเหมาให้ฉันผิดคนเดียวได้ไง

...พูดอะไรสักคำได้มั้ย จะแข่งกันเงียบรึไง เรื่องนั้นฉันไม่แพ้ใครหรอกนะ อยากรู้เหมือนกันว่านายจะทนเงียบอยู่ได้สักกี่น้ำ

...

...

“อิ่มแล้วเหรอ”

ในที่สุดประโยคแรกก็หลุดออกมาจากปากคนทำกับข้าวจนได้ เพราะแปลกใจที่เห็นคนข้างตัวรวบช้อนทั้งๆ ที่กับข้าวยังพร่องไปได้ไม่ถึงครึ่ง

นายหายโกรธฉันแล้วใช่มะ

“เห...” ชากะกระพริบตาปริบก่อนปฏิเสธไม่ได้โกรธ”

...ที่โกรธน่ะ นายต่างหาก

“นายโกรธฉัน” อีกฝ่ายยังไม่เลิกกล่าวหา

“ไม่ได้โกรธ”

“โกรธ”

“ก็บอกว่าไม่......เอ่อ ไอโอเรีย.....”

เพราะความอดทนที่ใกล้สิ้นสุดทำให้หลุดเสียงตวาดออกไป แต่ก็แค่ครึ่งประโยคเท่านั้นหัวสมองก็ว่างเปล่ากลายเป็นสีขาวไปชั่วขณะเมื่อมีมือใหญ่ อุ่น วางลงมาที่ไหล่แล้วบีบเบาๆ พอเงยขึ้นมองหน้าก็เห็นแต่รอยยิ้มเกลื่อนไปหมด

“นายไม่โกรธก็ค่อยสบายใจหน่อย อุตส่าห์กลุ้มอยู่ทั้งวัน”

...เสร็จกัน ทำไงดี พูดอะไรอีกดี

“ทำไมไม่กินข้าวให้หมด” เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปก็ต้องรีบเฉไฉไปเรื่องอื่นเสียโดยเร็ว “กินทิ้งกินขว้างไม่ได้นะ”

“อิ่มแล้วน่ะ...ก่อนมานี่ ท่านชิออนเลี้ยงขนม ท่านชิออนทำขนมอร่อยมากเลยนะ เลยลืมเกรงใจ กินเข้าไปตั้งเยอะ” คนพูดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนยังติดใจรสชาติไม่เลิก ไม่รู้สักนิดเลยว่าหัวใจคนฟังเจ็บแปลบ

“ยังงั้นเหรอ”

“แล้วก็นะ ชากะ พรุ่งนี้ท่านชิออนให้ฉันไปช่วยพวกซิลเวอร์เซนต์ฝึกพวกเซนต์ฝึกหัดรุ่นใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่ยาวไปจนเย็น”

“อ้อ”

“เช้าฉันไปกินข้าวที่วิหารเคียวโกได้ กลางวันกินที่สนามฝึก ส่วนเย็นคงต้องรบกวนนายเหมือนเดิม”

“อืม”

“ขอบใจนะ ชากะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนอะ นายจะได้สวดมนต์ ทำสมาธิได้สบายๆ ไม่ต้องมาทนรำคาญฉัน จริงมั้ย”

เหมือนมีก้อนอะไรแข็งๆ ขึ้นมาจุกที่คอจนพูดอะไรไม่ออก ลงท้ายก็พยักหน้ารับไปอย่างฝืนๆ ก่อนเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าที่อยู่ใกล้ๆ ....รอยยิ้มยังไม่จางหายไป แต่...แววตาสีเขียวที่เฉยชานั้น อ่านไม่ออกเลยสักนิดว่าเจ้าของกำลังคิดอะไรอยู่

จากนั้นไอโอเรียจะชวนคุยอะไรก็ไม่ค่อยจะเข้าหูสักเท่าไหร่ ได้แต่อือออตอบตามน้ำไปเรื่อยๆ

รุ่งเช้า...ไอโอเรียทำตามอย่างที่บอกจริงๆ พอตื่นเช้าปุ๊บก็ออกจากวิหารไปปั๊บ จนเย็นค่ำชนิดฟ้ามืดมองอะไรไม่เห็น ฝึกอะไรไม่ได้อีกแล้วนั่นแหละ ถึงจะกลับมาอาบน้ำ กินข้าว แล้วเข้านอน วันวันแทบจะไม่ได้พูดอะไรกัน หรือบางวันไม่ได้เจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ

อย่างเมื่อเช้า ไอโอเรียที่กำลังจะเดินออกจากประตูวิหารเหลือบมาเห็นคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนก็ส่งยิ้มมาให้ตามเคย

“เมื่อคืนหลับสบายมั้ย”

แล้วเดินต่อไปแบบไม่ต้องการคำตอบ

...อย่ามาถามอะไรงี่เง่า ไร้สาระ เหมือนเด็กไร้เดียงสาแบบนั้นได้มั้ย ฉันชักจะโมโหแล้วนะ

...ถ้าไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร เดินๆ ออกไปเลย

...อย่าทำเหมือนฉันเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่มีความหมาย มีก็ได้ไม่มีก็ได้แบบนั้นนะ


กว่าจะรู้ตัว ก็ไปหยุดยืนอยู่ริมรั้วเตี้ยๆ ด้านในสุด ตรงนี้มองเห็นวิหารเลโอที่อยู่ข้างล่างได้ชัดเจน

ความทรงจำเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมาค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาทีละน้อย

...สมัยอยู่วิหารเลโอ ถึงจะค่อนข้างต่างคนต่างอยู่ แต่เรายังได้คุยกัน ยังหาเรื่องทะเลาะกันได้บ่อยกว่านี้

...พอนายมาอยู่วิหารเวอร์โก้ ฉันเลยพยายามหาวิธีให้เราได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนเดิม ถึงกับคิดว่าการบังคับจะทำให้แมวดื้อๆ ตัวนึงยอมมาอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาได้

...ลงท้ายวิหารเวอร์โก้ก็มีแต่ความเหงา


ร่างโปร่งยิ้มบางๆ ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าตัวเองดี ขณะค่อยๆ ถอนหายใจช้าๆ ยอมรับความความจริงที่เฝ้าแต่หลับหูหลับตาปฏิเสธมาตลอด

... ความผิดของนาย ความผิดของนายคนเดียว...คนเดียวเลย ไอโอเรีย

... ที่ทำให้แมวบ้าๆ ตัวนึงเข้ามาในชีวิต

... มารู้ตัวอีกที ฉันก็กลับไปอยู่คนเดียวตามเดิมไม่ได้อีก



“ชากะ”

เสียงเรียกค่อนข้างดังจนสะดุ้ง ฉันพลันก็รู้สึกถึงแรงดึงไม่เบานักที่แขนซ้าย พอหันกลับมามองก็เจอ เจ้าตัวปัญหายืนอยู่ตรงหน้า

พอเห็นหลวงพี่เริ่มขมวดคิ้ว แมวเหมียวก็รีบปล่อยมือ “นึกว่านายจะเป็นลม เลยดึงแขนไว้ ว่าแต่...หน้าซีดจัง เป็นอะไรรึเปล่า”

...คำพูดที่เพิ่งได้ยินดังสะท้อนอยู่ในหู

...ได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย

เป็นอะไรรึเปล่า

...ในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่นายแสดงออกว่าเป็นห่วงฉัน

เหมือนไอโอเรียคนเดิมกลับมาอยู่ข้างๆ อีกครั้ง


ไอโอเรียมองเจ้าของวิหารที่เอาแต่นิ่งเงียบสลับกับตัววิหารที่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังออกมาข้างนอกเป็นระยะไปมาก่อนพยักหน้าเข้าใจ

“รู้แล้ว พวกพี่รอสคงมาตั้งก๊วนกวนสมาธินายอยู่ในวิหารอีกแล้วสิ ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวฉันจัดการให้”

ว่าแล้วก็หันหลังกลับ มุ่งหน้าเดินไปทางประตูวิหารทันที

 แต่.....

“เดี๋ยว”

คนถูกดึงแขนเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายดึงบ้าง มือเรียวรั้งท่อนแขนแข็งแรงไว้แน่น พยายามไม่สนใจนัยน์สีเขียวแสนเย็นชาที่มีแววประหลาดใจปนอยู่

“คือว่า...คือ...” เป็นครั้งแรกในชีวิตละมั้งที่เวอร์โก้ ชากะ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

...

...

คำพูดของไอโอรอสที่เพิ่งพูดกับมูย้อนกลับมาในความทรงจำ

...ถ้าเป็นฉัน เป็นชากะคนนี้ล่ะ


ร่างโปร่งขยับเข้ามาใกล้ อ้าแขนออกโอบแผ่นหลังแข็งแรงของคนตรงหน้าไว้หลวมๆ

...คืนมาเถอะนะ คืนไอโอเรีย คืนเจ้าแมวจอมทื่อบื้อที่แสนจะซื่อตรงและจริงใจคนนั้นกลับมาให้ฉันเถอะ

เสียงลมพัดดังขึ้นกะทันหัน ร่างสูงใหญ่ชะงักค้างไปนิด ในหูไม่ได้ยินเสียงอะไรราวกับโลกทั้งโลกเงียบกริบลงไปในชั่วพริบตา แล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงซบหน้ากับไหล่ของคนตัวเล็กกว่าที่ยังไงก็ไม่มีทางจะทานน้ำหนักได้ ลงท้ายเลยเสียหลักลงไปกองกับพื้นทั้งคู่

“ไอโอเรีย เป็นยังไงบ้าง”

“โอย...ก็เจ็บอะเซ่ะ ถามได้” น้ำเสียงบอกชัดว่าอยากอาละวาดเต็มที แต่พอดีว่าแค่จะยืนยังยืนแทบไม่อยู่ “ไอต้นไม้ซังกะบ๊วยจะแกล้งกันรึไง อยู่ๆ ก็กิ่งหักหล่นโครมลงมาบนหัวชาวบ้าน มันเจ็บนะ...”

“ยืนไหวมั้ย” มือนุ่มๆ ยกขึ้นลูบหลังลูบไหล่คนตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับการปลอบใจเด็ก

“เดี๋ยว มึน” เด็กตัวโตส่ายหน้า คิ้วยังขมวดมุ่นเพราะความเจ็บผสมความมึนงง

เสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหู

“ขอโทษ”

“หือ..นายไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“ฉันจะไม่บังคับนายให้สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิอีกแล้ว”

“เหรอ ขอบใจ”

“ฉันจะฟังที่นายพูด จะไม่เอาแต่ใจเหมือนเดิม”

“ดีจัง”

“ฉันจะแกล้งนายให้น้อยลง แล้วตามใจนายมากขึ้นอีกหน่อยก็ได้”

“นั่นยิ่งดีสุดๆ ไปเลย คราวนี้ฉันจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ นอนตื่นสายๆ กับนั่งผึ่งแดดจิบกาแฟข้างหน้าต่างเหมือนเดิมได้แล้วใช่มะ” ไอโอเรียค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนพลางสะบัดหัวไปมา “เย็นนี้ไม่กินข้าวนะ ท่านชิออนจะเลี้ยงส่งพวกเซนต์ฝึกหัดที่จะแยกกันไปฝึกวิชากับอาจารย์ของตัวเอง”

“อืม” ชากะลุกขึ้นตามพลางปัดเศษใบไม้แห้งที่ติดตามเสื้อผ้าออก

...ลงทุนเดินมาจากลานฝึกเพื่อมาบอกเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ

“นายเข้านอนไปก่อนเลย บาย”

“ได้ ราตรีสวัสดิ์ เจอกันพรุ่งนี้”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ร่างโปร่งยืนนิ่ง มองตามหลังคนที่กำลังเดินดุ่มๆ กลับไปวิหารเคียวโก พลางกลั้นใจรอ...


“ฝันดีนะ อย่าลืมห่มผ้าก่อนนอนด้วยล่ะ”


ประโยคสั้นๆ ลอยตามลมมา เรียกรอยยิ้มที่ห่างหายไปจากใบหน้าตลอดทั้งสัปดาห์ให้ปรากฏก่อนหันไปแตะลำต้นสาละเบาๆ ด้วยความรักและขอบคุณ

...ไอโอเรียคนเดิมกลับมาแล้ว

จะรู้สึกไปเองรึเปล่านะ ว่า...ใบสาละสะบัดไหวไปมาตามลมเบาๆ คล้ายตอบรับด้วยความยินดี


for Shaka ,

Jeserith

12 / 12 / 2010

14.30  p.m.

2 ความคิดเห็น:

  1. นี่มุกเองน้า ตอนแรกเข้าใจว่าเมนท์ไปตั้งนานแล้ว... แต่ตอนนั้นบีบีดันเน่าเมนท์ไม่ติดโดยไม่รู้ตัวซะงั้น ฮือๆ ขอโทษนะคะ...

    ขอกรี๊ดดังๆเลยค่า><!! สู้ๆนะคะ มันไม่แป้กเลยค่ะ มุกสินั่งอ่านไปอมยิ้มไปเหมือนคนบ้าเลย.. (ยิ่งตอนอ่านบนรถไฟฟ้าเนี่ย....)

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ12/14/2554

    สนุกมาก ๆทุก ๆตอนเลยค่ะ เขียนต่อไปน่ะค่ะ ^^

    ตอบลบ