Author : jes
Pairing : LL (มั้งนะ)
ระดับ : ปลอดภัยไร้กังวล
Disclaimer : ตัวละครทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของคุณ rabbit ค่ะ
-----------------------------------------------------------------------
......ณ ยามค่ำคืนที่กาลเวลารอบตัวคล้ายหยุดนิ่งไปชั่วขณะด้วยต้องมนต์แห่งนิทรา มีเพียงเสียงสายลมแห่งฤดูร้อนที่พัดผ่านยอดไม้ดังหวีดหวิวดังแว่วมาทางหน้าต่าง แต่แล้วมนตราแห่งนิทราอันศักดิ์สิทธิ์กลับใช้ไม่ได้ผลกับร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่เอาแต่นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอย่างหาความสุขไม่ได้อยู่บนเตียง....ในห้องที่มีรูพรุนมากที่สุดในป้อมอัศวิน
เบื่อจัง!
ทำไมแต่ละวันๆที่ผ่านๆไปมันถึงได้ชักช้า ซ้ำซากและสุดแสนจะเซ็งแบบเน้~....
เฮ้อ!
......................
เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน
“ลอรี่!” เสียงซาตานอารมณ์ดีดังขึ้นป่วนประสาทนักบวชอารมณ์บูดเหมือนทุกที
เฟี้ยว....ฉึก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ไม่ทันขาดคำ....พายุมีดบินสีเงินก็ปลิวว่อนเป็นการตอบรับเหมือนเคย
“ลูคัส ถ้าแกยังไม่อยากตาย ก็รีบๆหุบปากไปซะ” ลอเรนซ์ ดอร์น เดอะพรีทส์ ออฟแอเรียสที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของใช้จำเป็นใส่ลงในกระเป๋าเดินทางใบย่อมยอมเสียเวลาอันมีค่าเงยหน้าขึ้นมาตวาดใส่
“อีกไม่กี่วันก็ปิดเทอมหน้าร้อนแล้ว สรุปว่าเราสองคนจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี” ผู้วิเศษแห่งทริสทอร์ที่เอี้ยวตัวหลบคมมีดด้วยความชำนาญเหมือนทุกครั้งเริ่มแย้มรอยยิ้มเข้าสู้แล้วพลิกหนังสือ “Unseen Eden ” ที่ถืออยู่ในมือไปมา
“ไปบุกทุ่งหิมะที่สโนว์แลนด์กันมั้ยหรือไปเดินป่าที่อเมซอนดี อืม...ไปพายเรือล่องแพที่ไนล์ก็เข้าท่า หรือว่าไปว่ายน้ำ อาบแดดที่เกาะสวรรค์ทะเลใต้ก็ไม่เลว นายว่าไง”
“ตามใจ เรื่องของแก ไม่เกี่ยวกับฉัน” ลอเรนซ์สะบัดหน้าใส่
“ฉันจะกลับบ้าน”
“ได้ไง” ซาตานเบิกตากว้างพลางส่งเสียงประท้วงง้องแง้ง “ไหนตกลงกันว่า...เอาเถอะ งั้นให้ฉันตามไปที่มหาวิหารแห่งแอเรียสด้วยคนได้มั้ยล่ะ นะ นะ นะ น้า......พลีสสสสสสส..... ”
เสียงอ้อนวอนออดๆจบลงพอดีพร้อมกับที่เสียงปิดกระเป๋าดังขึ้น ลอเรนซ์ยกกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า มือเรียวได้รูปคว้ากุญแจห้องที่วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อแล้วเปิดประตูเดินจากไปหน้าตาเฉย
“พ่อฉันสั่งให้กลับบ้านด่วน ไม่ใช่มหาวิหารเรียกตัว ไปนะ เจอกันเปิดเทอม”
.........ปัง.............
(ไม่บอกก็รู้ใช่มะว่าเสียงกระแทกประตูปิด – เจส / เออ... - คนอ่าน)
........
...................
ปั้ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงรัวกำปั้นทุบหมอนแบบไม่มียั้งดังขึ้นจากซาตานที่ถูกนักบวชทอดทิ้งตามด้วยการนอนกลิ้งตัวไปมาระบายความหงุดหงิดอีกสองสามที
เปิดเทอม....
เปิดเทอมเนี่ยนะ....
กว่าจะเปิดก็อีกตั้งหลายเดือน แล้วพอลอรี่ไม่อยู่...ก็ไม่มีคนให้ยั่วโมโหเล่น ไม่มีมีดบินให้คอยหลบ ไม่มีเสียงตะโกนด่า ชีวิตแบบนี้จะไปมีค่ามีความหมายอะไร แถมช่วงนี้โรเวนกับอาตี้ก็ต้องตามพวกเฟรี่ คาลี่ คิลลี่ไปเดมอสอีก ชิววี่กับโซมี่ก็หนีไปเที่ยวไหนไม่รู้กันสองคน ไม่มีใครสนใจลูคัสผู้โดดเดี่ยวคนนี้บ้างเล้ย
ฮือออออ.......
ลอรี่จ๋า รีบๆกลับมาเต๊อะ....เค้าเหงาจะแย่อยู่แล้ว
และในที่สุดลูคัสผู้น่าสงสารก็ซบหน้าลงกับหมอนอีกครั้งก่อนจะ.......
...........Zz Zz
.......... Zz Zz Zz Zz Zz
...........ZZzzzzzzzzz ZZZZZZzzzzzz...........
เอ๋....
ทำไมจู่ๆลูคัสก็รู้สึกเหมือนลืมตาตื่นขึ้นกะทันหัน รอบตัวคือความมืดสนิทที่ให้ความรู้สึกวังเวงและหดหู่ ดูๆไปแล้วไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่
“ลูคัส....ลูคัส ซาโดเรีย......ลูคัส ซาโดเรีย”
เสียงประหลาดดังมาจากความมืดข้างหน้าเรียกให้ต้องหันกลับไปมอง
“ท่านคือผู้ถูกเลือก ลูคัส ซาโดเรีย ถูกเลือกจากมงกุฎแห่งใจ จงบอกสิ่งที่ท่านปรารถนามาแล้วข้าจะบันดาลให้ท่านสมหวัง”
“หือม์ อะไรก็ได้เหรอ” ลูคัสทวนคำอย่างชักสนใจขึ้นมานิดหน่อย “แล้วฉันต้องให้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยนล่ะ”
“ใช่ อะไรก็ได้ ไม่มีข้อแลกเปลี่ยน นานทีร้อยปีหนมงกุฎใจอย่างข้าก็อยากทำอะไรที่มันดีๆขึ้นมามั่งเหมือนกันล่ะน่า”
“ได้ทุกอย่างแน่นะ แล้วต้องให้ฟรีจริงๆด้วย” คนถูกเลือกถามซ้ำอีกครั้งเป็นการตอกย้ำความมั่นใจ
“เอ๊...บอกว่าได้ก็ได้เด่ะ จะเซ้าซี้ถามอะไรนักหนา” ท่าทางมงกุฎใจชักยัวะขึ้นมามั่ง “จะขอหรือไม่ขอ เสียเวลา...ข้าจะได้ไปถามคนอื่นแทน”
“แหม อย่าโมโหสิ..เอาเป็น...” ลูคัสหยุดคิดเล็กน้อยก่อนบอกความปรารถนาในหัวใจ
“ฉันอยากเจอลอรี่”
“แล้วท่านจะได้ดังใจหวัง”
เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นก่อนจะค่อยๆจางหายไปพร้อมแสงสีทองแสบตาที่สว่างวาบ
............................
“เฮ้! ตื่น ตื่นสิ ลืมตาได้แล้ว”
เสียงปลุกดังแว่วเข้าหูทำให้นัยน์ตาสีเข้มหลังแว่นกรอบทองลืมขึ้นอย่างช้าๆก่อนจะหลับตาลงแล้วลืมขึ้นอีกที แต่ถึงจะหลับตาลืมตาใหม่อีกสักกี่หนจนแล้วจนรอดก็ไม่มีภาพของคนที่อยากเห็นปรากฏเข้ามาในสายตาอยู่ดี
....สงสัยจะถูกไอมงกุฎซังกะบ๊วยนั่นหลอกเข้าให้แล้วสิ ฮึ่ม...ฝากไว้ก่อนเหอะ เจออีกทีเมื่อไหร่จะเอาน้ำกรดราดเลย คอยดู!
ซาตานแห่งป้อมอัศวินถอนหายใจเฮือกแล้วทรงตัวลุกขึ้นเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ
ที่ไหน.....
ห้องขนาดใหญ่ที่แม้จะไม่หรูหราแต่ก็ได้รับการตกแต่งอย่างดีเยี่ยมแบบนี้มั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางเป็นห้องรับแขกในโรงเรียนพระราชาที่มักถูกนักเรียนนินทาอยู่บ่อยๆว่าบ่จี๊
นั่นใคร.....
ที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้อง ชายผมดำอายุประมาณ 30 ปีนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆพลางจ้องมองตรงมาอย่างใช้ความคิด
“ที่นี่ที่ไหน” ผู้มาเยือนถามคำถามแรกขึ้นก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบ
“มหาวิหารแห่งแอเรียส” คำตอบดังมาจากชายผู้ปลุกซาตานให้ตื่นขึ้นจากนิทรา “ส่วนเธอ....แต่งตัวแบบนี้...นักเรียนโรงเรียนพระราชาสินะ อยู่ปีไหนล่ะ”
“ป้อมอัศวิน ปีห้า ปีเดียวกับเจ้าชายโรเวนแห่งเจมิไน” ลูคัสตอบพร้อมขอใช้บารมีโรเวนเป็นที่พึ่ง ก็จะมีสักกี่คนเชียวที่ไม่รู้จักเมจิกพรินซ์คนเก่ง จริงมั้ย
“เข้าใจล่ะ” ชายแปลกหน้าพยักหน้าหงึกหงักก่อนยักคิ้วให้ “เธอมาจากอนาคตสินะ ถึงไม่รู้ว่าคิงเซธแห่งเจมิไนเพิ่งจัดงานฉลองวันเกิดครบรอบ 6 ปีให้เจ้าชายโรเวนไปเมื่อ 2 เดือนก่อน”
“ว่าไงนะ...หมายความว่า.....” ‘คนหลงยุค’ อ้าปากค้าง แต่ก็พอเข้าใจอะไรขึ้นมาลางๆ
....ไอมงกุฎสับปะรังเคนั่น มันส่งเขากลับมาในอดีต หนอย...มันน่านัก
ชายผมดำมองสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่ายพลางถอนใจยาวก่อนจะพูดขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว “ฉันมีวิธีพาเธอกลับไปยังที่ๆเธอมาได้ แต่ต้องทำงานให้ฉันอย่างนึงก่อน”
ลูคัสผ่อนลมหายใจลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากถาม “นายเป็นใคร แล้วจะให้ฉันทำอะไร”
“ฉันเหรอ...ก็แค่พ่อมดธรรมดาๆ อย่าสนใจเลย ส่วนงานที่จะให้ทำก็...เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลความปลอดภัยให้เด็กเล็กๆคนนึงที่ฉันเป็นผู้อุปถัมป์อยู่ ก็เท่านั้น”
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกร้องความสนใจ สักพัก...เด็กชายตัวจ้อยก็ก้าวเข้ามาในห้อง แค่แวบแรกที่แลเห็นก็เล่นเอาลูคัสถึงกับตะลึงไปอย่างไม่เชื่อสายตา
แม้คนตรงหน้าจะเป็นแค่เด็ก 6 ขวบ แต่เส้นผมสีทองแลดูอ่อนนุ่มราวไหมเนื้อดีที่ปลิวระใบหน้ากับนัยน์ตาสีอเมทิสต์เป็นประกายที่จ้องมองผู้ใหญ่ 2 คนในห้องสลับกันไปมาอย่างไม่ค่อยไว้ใจนั้นดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก....ถึงบนใบหน้าอ่อนเยาว์จะไม่มีร่องรอยความหงุดหงิดที่เป็นจุดเด่นประจำตัวก็ตามที แต่รูปลักษณ์แบบนี้จะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง....
หัวใจของซาตานตัวแอลพองโตด้วยความดีใจ
......นั่นนายใช่มั้ย นายจริงๆใช่มั้ย
พอเด็กน้อยเดินเข้ามาใกล้ พ่อมดธรรมดา(มั้งนะ)แห่งแอเรียสก็แย้มรอยยิ้มอ่อนโยนยิ่งพร้อมเอ่ยทักทาย
“ไม่ได้เจอกันพักนึง โตขึ้นเยอะเลยนะ ลอเรนซ์”
............................................
“มืดอ้ะ”
“ก็พระอาทิตย์ตกดินไปตั้งนานแล้วนี่นา”
เสียงพึมพำกระซิบกระซาบโต้ตอบกันระหว่างคู่หูต่างวัยคู่ใหม่ดังมาจากหลังพุ่มไม้ใหญ่ ถัดออกไปข้างหน้าคือคฤหาสน์ร้างขนาดใหญ่แถบชานเมืองแอเรียสที่ชาวบ้านร่ำลือกันว่า ‘ผีดุ’ สุดๆ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปข้างในเพราะอยากลองของเป็นอันต้องจับไข้หัวโกร๋นออกมากันทุกคน
“จุดไฟสักนิดไม่ได้เหรอ มองไม่เห็น” เสียงเล็กๆเริ่มงอแง
“มีแสงสว่างเดี๋ยว ‘ไวท์ เลดี้’ ก็ไม่ยอมออกมาหรอก ทนอีกนิดน่า”
ลูคัสกระซิบปลอบเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตักขณะเพ่งมองผ่านความมืดมิดเข้าไปในตัวคฤหาสน์เพื่อค้นหาบางสิ่ง
.....‘ไวท์ เลดี้’ กุญแจดอกแรกที่จะนำไปสู่พิธีสาบานตนเป็นนักบวชของลอเรนซ์ ดอร์น เดอะพรีทส์ ออฟแอเรียสคนที่เขารู้จัก
สักพักร่างเล็กๆก็ขยับเบียดเข้ามาใกล้อีกแล้วเอื้อมมือเล็กๆไปคว้าเอาชายเสื้อคนข้างตัวมากำไว้ให้พออุ่นใจว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
....‘ผีกับเด็ก’ คู่อาฆาตตลอดกาล ไม่เว้นแม้แต่ลอเรนซ์ ดอร์น
“หนาว”
คนตัวเล็กว่าเข้านั่นแล้วรีบทำไม่รู้ไม่ชี้เมินหน้าหนีไปอีกทางแต่พอเห็นเงาอะไรวูบวาบก็รีบหลับตาปี๋หันหน้ากลับมาแทบไม่ทัน เลยไม่เห็นรอยยิ้มในความมืดของคนตัวโตที่หมายจะกลบเกลื่อนด้วยการกระชับผ้าคลุมที่มีอยู่ผืนเดียวให้แน่นเข้า แต่ความที่อยู่ใกล้กันมากก็ทำให้รู้สึกได้ถึงอาการสั่นน้อยๆจากความพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ
หนูน้อยลอเรนซ์เริ่มหน้างอด้วยความขัดใจ
“แล้วต้องรอต่อไปอีกนานแค่ไหน เราเข้าไปข้างในกันเลยดีกว่าน่า” คราวนี้น้ำเสียงบอกชัดว่าคนพูดเริ่มอารมณ์บูด
“โอเค” ลูคัสพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เชื่อแล้วว่าคนข้างตัวความอดทนต่ำตั้งแต่เด็ก “เชิญท่านผู้นำนำหน้าเข้าไปก่อนเลย”
“ไม่อ๊าวววววววว”
เสียงท่านผู้นำร้องลั่นอย่างลืมตัวเรียกเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอท่านผู้ตามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือวิวาทประเดิมการเป็นคู่หูยกแรก...สัมผัสบางอย่างที่เย็นยะยือกชวนให้ขนลุกซู่ก็ขยับใกล้เข้ามาทีละน้อย
มาแล้ว.....
หญิงสาวร่างผอมบางปรากฏตัวขึ้นในบริเวณที่พอจะเดาได้ว่าเคยเป็นสวนดอกไม้มาก่อน....สีขาวสะอาดของเสื้อคลุมตัวยาวที่เธอสวมใส่ดูโดดเด่นตัดกับสีดำสนิทของยามรัตติกาล
ช่วยไม่ได้ที่สีหน้าของลอเรนซ์ที่เดิมก็ขาวอยู่แล้วจะซีดลงๆจนใกล้เคียงกับสีเสื้ออยู่รอมร่อแถมมือไม้ยังเย็นเฉียบ ร่างเล็กๆสั่นสะท้านจนลูคัสรู้สึกได้
“ระวังตัวด้วยล่ะ ลอรี่”
เหมือนสายฟ้าไม่มีเสียงฟาดเปรี้ยงลงมา ลอเรนซ์กระชากเสียงกลับโดยอัตโนมัติ
“ห้ามเรียกลอรี่นะ เข้าใจมั้ย บอกว่าห้ามเรียก”
....สำเร็จแฮะ.... ลูคัสแอบยิ้มอยู่ในใจ
“ทำไมล่ะ เรียก ‘ลอรี่’ ก็น่ารักดีออก”
“ชื่อนี้..นอกจากแม่แล้วมีพ่อเรียกได้คนเดียว คนอื่นห้ามเรียก” เด็กน้อยเสียงแข็งอย่างไม่ยอมแพ้ ความกลัวที่เหมือนน้ำแข็งบางๆเกาะกุมหัวใจอยู่เมื่อกี๊ไม่รู้ละลายหายไปไหนหมด
....แม่บอกว่า ถ้าได้เป็นนักบวชเมื่อไหร่...พ่อจะมาหา แล้วถ้าทำงานนี้สำเร็จ เอา ‘ของ’ ที่เจ้าพ่อมดที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อกลับไปคืนได้ล่ะก็...วันจัดพิธีสาบานตัวเป็นนักบวชก็จะมาถึง....วันนั้น จะได้พบพ่อ
“ลอรี่” เสียงกวนๆยังดังขึ้นเป็นระยะให้แสบๆคันๆหัวใจเล่น
“บอกว่า....
“ถ้าไม่รีบตามไป เธอจะหายตัวไปซะก่อนนะ” ลูคัสที่ยังลุกขึ้นไม่ได้เพราะมีลอเรนซ์นั่งอยู่บนตักเอ่ยยิ้มๆพลางชี้นิ้วไปยังไวท์เลดี้ที่กำลังเดินหายเข้าไปในบ้าน
....เออ จริงด้วย ลืมไปสนิทเลย
ได้ยินเท่านั้น ลอเรนซ์ก็ลืมกลัวกระโจนพรวดวิ่งตามหญิงในชุดขาวไปอย่างไม่รอช้า
“เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งไป อุตส่าห์ออกมาแล้วก็อยู่นานๆหน่อยสิ ได้ยินม้ายยยย”
“ใช่แล้ว ดีมาก วิ่งตามไปเลย ลอรี่ สู้เค้า!” เสียงเชียร์ยังไล่หลังมาติดๆ เล่นเอาเด็กน้อยชะงักฝีเท้านิดนึงแล้วหันหลังกลับไปกระชากเสียงใส่คนที่ยังนั่งเอ้เตอยู่กับพื้นอย่างเหลืออด
“อย่าเรียกแบบนั้นนะ แล้วรีบตามมาเร็วๆด้วย”
...............................
ภายในคฤหาสน์ร้างแม้จะทรุดโทรมเอาการแต่ก็กว้างใช่ย่อย กว่าลอเรนซ์กับลูคัสจะวิ่งตาม ‘ไวท์ เลดี้’ ที่เดินเรื่อยๆเข้าไปถึงห้องชั้นในได้ก็เล่นเอาแทบหมดแรง
ฉับพลัน....หญิงชุดขาวก็หันขวับกลับมาเผชิญหน้า เล่นเอาสองคู่หูจับมือกันถอยหลังกรูดดดดด.....ด้วยความตกใจแทบไม่ทันเมื่อมองสบเข้ากับดวงตาสีแดงภายใต้เส้นผมยาวรุ่ยร่าย แต่ในชั่วพริบตาร่างนั้นก็พร่าเลือน....กลายเป็นเด็กวัยรุ่นซนๆ ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีทับทิมคนนึงที่กำลังอ้าปากหัวเราะด้วยความดีใจสุดขีด
“เย้! ในที่สุดก็มีเด็กใจกล้าตามเข้ามาซะที อ่ะ...หมดนี่ข้าให้ รับไปเลย”
ในจังหวะที่คู่หูตัวแอลยังไม่ทันตั้งตัวติด....อะไรสักอย่างกลมๆเป็นประกายแววววาวก็โปรยปรายลงมาชนิดถล่มทลาย ไม่ช้าพื้นห้องทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเหรียญทองกองพะเนิน แต่เมื่อดูดีๆถึงรู้ว่ามันเป็น เหรียญทองช็อกโกแลต!!!
“เจ้านี่เป็นภูติตะหาก...ไม่ใช่ผี” เมื่อเห็นหน้าตาของคู่กรณีชัดๆ ลูคัสก็ถอนใจยาวด้วยความโล่งใจก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้คนข้างตัว ก็พอดีมีช็อกโกแลตยื่นส่งมาให้แทบจะถึงปาก
“อร่อยนะ อ้ำเร็ว...อ้าปาก”
ขนาด ‘นายน้อย’ พยายามยืดตัวสุดๆแล้วนะเนี่ย...แต่ความสูงก็ยังไม่เป็นใจจน ‘พี่เลี้ยง’ต้องก้มหน้าลงมารับช็อกโกแลตเองหลังจากเหลือบไปเห็นเศษกระดาษห่อหลายชิ้นบนโต๊ะข้างๆที่เป็นหลักฐานอย่างดีว่าเจ้าตัวชิมดูแล้วว่าอร่อยจริง
.... เพิ่งรู้นะนี่ว่าลอรี่ชอบกินช็อกโกแลต
“นาย...”
“ฟินเซล ข้าชื่อฟินเซล” ภูติตัวโตแนะตัวตัวเอง
“นายเอาขนมพวกนี้มาจากไหน” ลูคัสยังสงสัยไม่เลิกผิดกับลอเรนซ์ที่ตั้งอกตั้งใจแกะห่อช็อกโกแลตส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆอย่างมีความสุข
“ก็ใช้เวทมนตร์สร้างขึ้นมาอ่ะดิ กะว่าจะใช้แทนคำขอบคุณ...คือ...บังเอิญฉันเห็นเจ้าหนูนี่วิ่งนำเข้ามาก่อน..เหรียญพวกนี้เลยกลายเป็นของกินไป จะเสกใหม่ให้เป็นทองแท้ก็ทำไม่ได้แล้ว โทษทีนะ” ฟินเซลหัวเราะแหะๆก่อนจะทำสีหน้าจริงจังแล้วชี้มือไปที่มุมห้อง
....คทาแบตเตอรี่ส่องแสงสว่างจ้าอยู่ในวงเวทคาถาตรึงอาณาเขตอย่างที่ไม่น่าจะมีใครทำได้
“ขอร้องล่ะนะ ช่วยปล่อยข้าให้เป็นอิสระทีเถอะ ข้าถูกขังอยู่ในนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว แค่ดึงคทานั่นออกมาก็พอ”
“ภูติอย่างนายยังดึงไม่ออก แล้วฉันล่ะ” ลูคัสขมวดคิ้ว
“ก็เจ้าพ่อมดคนที่ขังข้าไว้ดันกำกับคาถาพิเศษไว้ด้วยน่ะสิ คทานี่..พวกภูติหรือปิศาจไม่มีทางดึงออก ต้องมนุษย์เท่านั้นถึงจะดึงได้”
“แล้วทำไมต้องปลอมเป็นผีด้วย” ลอเรนซ์ถามบ้าง
......ไม่ใช่ผีจริงๆซะหน่อยนี่นา แล้วจะกลัวไปทำไมล่ะ เนอะ....
“ก็เป็นมุขเด็ดสำหรับล่อให้คนตามเข้ามาในนี้ไงล่ะ แต่เจ้าพวกที่เข้ามาก่อนนี้น่ะนะ ไม่รู้ทำไม พอข้าเริ่มพูดด้วยไม่ก็แสดงตัวออกมาให้เห็นทุกคนก็เอาแต่กรีดร้องไม่เป็นภาษาบางคนงี้ถึงกับช็อกค้างไปเลย” ภูติเจ้าปัญหาบ่นพึมพำ เล่นเอาแอลใหญ่กับแอลเล็กมองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี
“ได้” ลอเรนซ์รับคำตามด้วยการเจรจาต่อรอง “เดี๋ยวจะดึงคทาออกให้ แต่นายต้องบอกที่ซ่อน ‘กล่องสี่เหลี่ยมสีขาวเล็กๆที่ฝากล่องแกะสลักเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว’ มาเป็นการแลกเปลี่ยน”
“กล่อง?” ฟินเซลทวนคำงงๆ “ไม่มีนี่ ไม่ได้หลอกนะ ข้ารู้จักทุกซอกทุกมุมของบ้านหลังนี้ดี รับรองไม่มีกล่องที่ว่าแน่นอน”
....หมายความว่าไง ‘ไม่มี’
“มันต้องมีสิ....ลองนึกดูดีๆก่อน” ลูคัสอุ้มลอเรนซ์ที่สีหน้าไม่ค่อยดีขึ้นมาปลอบแล้วหันไปถามเจ้าภูติจอมกวนอีกครั้ง
“ไม่มี ไม่เชื่อลองหาดูเองก็ได้ แต่ข้าไม่ช่วยนะ เบื่อบ้านบ้าๆนี่เต็มทน”
....................
2 ชั่วโมงต่อมา
“ตรงนี้ไม่มี”
“ตรงนี้ก็ด้วย”
“บนชั้นหนังสือ โคมไฟ ใต้หมอน ในเตาผิง หลังโซฟา หาทั่วแล้วรึยัง”
“แถวนั้นหาหมดแล้ว ไม่เจอ ลองไปหาในอ่างอาบน้ำ ใต้กระถางต้นไม้ หลังภาพวาด ดีกว่า”
“นี่...พอเหอะ หยุดได้แล้ว เหนื่อยเปล่าน่า” ฟินเซลผู้น่าสงสารตะโกนขึ้นสุดเสียงเพราะต้องคอยหลบบรรดาข้าวของที่คู่หูตัวแอลช่วยกันรื้อกระจาย...ขนาดหลบแก้วน้ำที่ลอยมาเฉียดหน้าพ้นจนกระโดดหนีขึ้นไปนั่งบนหลังตู้ริมห้องก็ยังไม่วายโดนหนังสือจากมือใครสักคนโยนลงหัวอีก
“ลอร..เรนซ์ พอแล้วล่ะ คงไม่มีจริงๆอย่างที่ฟินซี่บอก” ลูคัสถอนใจพร้อมกับที่หนูน้อยพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะเริ่มต้นเก็บของที่กองเกลื่อนเข้าที่
“บางทีพ่อมดอาจจะจำผิดก็ได้” ลอเรนซ์ยังมองโลกในแง่ดีทั้งๆที่เจ้าตัวยิ้มไม่ออก
“อืม...เดี๋ยวก่อน” ลูคัสชะงักไปนิด “เราสองคนเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า ตอนนั้นพ่อมดบอกว่า..ให้ไปถามเรื่องกล่องกับไวท์ เลดี้นี่นะ ไม่ได้บอกให้มาเอากล่องที่ไวท์ เลดี้สักหน่อย...มันจะหมายถึง...ตัวกล่องอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ฟินซี่รู้ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ จริงมั้ย”
“อ๊ะ! จริงด้วย” ลอเรนซ์เบิกตากว้างพลางตบมือเปาะแปะ “ลูคัสหัวดีจังเลย”
และแล้วสายตา 2 คู่ก็เล็งโฟกัสมาที่ ‘ไวท์ เลดี้’ กันเป็นตาเดียว
“ถ้านายรู้อะไรดีๆก็รีบๆบอกมาซะ ไม่งั้น....” ว่าที่เดอะพรีทส์ ออฟแอเรียสยิ้มเย็น “ก็อยู่ในนี้ต่อไปอีกสัก 500 ปีเถอะ”
“ใช่ ฉันจะช่วยกำกับคาถากักบริเวณเพิ่มเติมให้เอง เอาเป็น...ให้อยู่ได้แต่เฉพาะในห้องนี้เท่านั้นท่าจะดี” ผู้วิเศษแห่งทริสทอร์ร่วมด้วยช่วยกันข่มขู่ เอ้ย ช่วยกันเกลี้ยกล่อมแบบไม่ค่อยสุภาพนักตะหาก
“เนอะ ฟินเซลเนอะ” ว่าแล้วสองคู่หูตัวแอลหันมาฉีกยิ้มหวานเจี๊ยบให้เจ้าภูติที่เริ่มหน้าซีดเหงื่อตก
....โหย พอเจ้าสองคนนี่รวมหัวกันแล้ว มันสุดแสนจะน่ากลัวยิ่งกว่าไอเจ้าพ่อมดปิศาจนั่นอีก
....เอ....พ่อมด หรือว่า........
“อืมมม...พ่อมดที่เจ้าว่าน่ะ...ใช่คนผมดำยาวๆ สูงๆ ตัวเพรียวๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองแถมยังใส่เครื่องประดับวูบวาบครบเครื่องเลยใช่ป่ะ” ฟินเซลทำท่าเหมือนจะพอนึกอะไรบางอย่างออก
“ใช่...หมอนั่นแหละ” ลอเรนซ์พยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นก็คนเดียวกับที่ขังข้าไว้ เฮ้ย!...รู้แล้ว!!!!!”
“อะไร” คู่หูตัวแอลประสานเสียงกันดังลั่นจนแทบหูอื้อ
“คืองี้” ฟินเซลกระแอมกระไอ ไม่รู้ว่าเพราะอายหรือว่าเขิน “เมื่อก่อนข้านิสัยไม่ค่อยดี วันๆชอบแกล้งพวกมนุษย์ให้ตกใจเล่น ก็มันสนุกดีนี่นา ทีนี้พวกที่ถูกข้าแกล้งหนักๆเข้าคงทนไม่ไหวเลยรวมตัวกันไปฟ้องคิงแห่งแอเรียส สุดท้ายเจ้าพ่อมดใจร้ายนั่นก็โผล่มาจับข้าขังไว้ในบ้านร้างหลังนี้เป็นการดัดนิสัย”
ลอเรนซ์กับลูคัสหันมาสบตากันปิ๊งแล้วเมินหน้ากันไปคนละทางกลบเกลื่อนรอยยิ้ม
....สมน้ำหน้า เจ้าภูตินิสัยไม่ดี ท่าทางจะเข็ดแล้วสินะ
“พอเรื่องถึงหูพ่อข้าที่กลัวว่าข้าจะถูกขังลืมเลยรีบมาเจรจาประนีประนอมยอมความพร้อมขอปล่อยตัว แต่ไม่รู้คุยกันท่าไหนลงท้ายข้าก็ถูกขังเหมือนเดิม จำได้ลางๆว่าตอนนั้นเจ้าพ่อมดให้ ‘อะไรสักอย่าง’ มาเป็นหลักประกันว่า...พอถึงคราวจำเป็นต้องใช้ของนั่นเมื่อไหร่ก็จะมารับกลับคืนไปและเมื่อนั้นข้าจะเป็นอิสระ ไม่แน่...บางทีอาจเป็นกล่องที่เจ้าสองคนตามหากันอยู่ก็ได้”
“งั้นกล่องก็น่าจะอยู่กับพ่อของฟินเซลสินะ ว่าแต่ที่ไหนล่ะ” ลอเรนซ์ถามเสียงใส นัยน์ตาสีม่วงเป็นประกายด้วยความยินดี
“ปราสาทเจ้าแห่งภูติพรายที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบแถวๆแกรนไลน์น่ะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น